ฟังบทสัมภาษณ์เจาะใจมะเดี่ยว-พีช-มาริโอ้ เสาร์นี้

loveofsiam4682.gif
ตกลงไปทำการบ้านมาให้แล้วนะ ต้องบอกว่า มันส์สะใจมั่กๆ กับระยะเวลา
ยาวนานที่ได้นั่งคุย นั่งคุยกันที่หน้าร้าน Au Bon Pain (อุบลพรรณ)
ฝั่งด้านในสยามดิส จะมีเสียงจ้อกแจ้กบ้าง แต่ฟังได้ชัดไม่เลว
ใครไม่ติดธุระ ฟังเสียงของมะเดี่ยว พีช มาริโอ้กันได้เลย
เขาคิดกันยังไง ชอบอะไรในเรื่อง เล่นแล้วรู้สึกยังไง
ปฏิกิริยาคนดูที่เจอ และที่สำคัญ อยากรู้กันนัก บทจูบ..
บทนั้น เบื้องหน้า เบื้องหลังเป็นอย่างไร???

รอฟังให้ครบทุกคนนะครับ รายการฮอตไลน์สายสีรุ้ง ยกให้เลย
สองชั่วโมงเต็มอิ่ม มาริโอ้พูดถึงชาวเราอีกต่างหากในตอนท้ายรายการ

FM95.75 หรือ คลิก
www.metroemotion.com
www.nationradioonline.com
………………………………………………………………………………………………………..
ภาพบรรยากาศวันสัมภาษณ์ครับ

mario16-1.jpg

dscn3663-1.jpg

peach1-2.jpg 
(รูปนี้น้องพีชกำลังอ่านคอมเม้นต์จากคนอ่านบล็อคนี้แหละ
print ไปให้น้องเค้าอ่าน ตอนสัมภาษณ์มะเดี่ยวอยู่)

พุธ 28 นี้มีสัมภาษณ์ผกก.กะน้องมาริโอ้ ใครอยากให้ถามอะไรมั๊ย?

peachset1.jpgmarioset11.jpg

 (คาดว่า ไม่น่ามีไรผิดพลาดคลาดเคลื่อน ใครอยากจะฝากคำถามอะไร ฝากมาได้
ในบล็อคนี้เลยคร้าบบ)

หนุ่มไทยผจญภัยหมู่มังกร

chinesemale2.jpg
เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 24-25 พ.ย. 2007 Metro Life นสพ. ผู้จัดกรรายวัน ฉบับวันเสาร์

สองจิตสองใจตั้งแต่อ่านจบล่ะครับว่าจะลงเรื่องนี้ดีหรือเปล่า? เพราะเนื้อหาสุ่มเสี่ยงไม่น้อยกับ “ภาระแห่งชาติในเรื่องการควบคุมสื่อ” ที่กำลังขัดแย้งกับสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน (ที่ไม่เป็นเยาวชน) จึงต้องขอเรียนท่านผู้อ่านที่รักไว้ก่อนว่า บทความในสัปดาห์นี้ไม่มีวัตถุประสงค์ยั่วยุกามารมณ์แต่อย่างใด

“คุณอุดม” เป็นหนุ่มไทยคนหนึ่งที่เพิ่งไปใช้ชีวิตชั่วคราวอยู่ที่เมืองๆ หนึ่งในประเทศจีน เขาต้องอยู่ที่นั่นราวครึ่งปี เขาย้ำมาว่า อยากให้ตีพิมพ์สิ่งที่เขารู้เขาเห็นให้ผู้อ่านท่านอื่นๆ ในเมืองไทยรับทราบกัน อาจจะเป็นแง่คิด มุมมองชีวิตให้ได้ขบคิด

ผมเลยขออนุญาตทำหน้าที่บรรณาธิกร เพราะที่คุณอุดมส่งมา หากอ่านในหมู่เพื่อนฝูงคงฮาแตกฮาแตน แต่สำหรับท่านอื่นๆ อาจจะไม่ค่อยลงตัวนัก ในเรื่องนี้คุณอุดมอุปโลกน์ตัวเองเป็น “อุดรณี” เพื่อความขบขันส่วนตัวเพียงนั้น

“หลังจากที่อุดรณีเลิกงานในเย็นวันศุกร์ อิชั้นก็ได้ไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะถึงประมาณหนึ่งทุ่ม อากาศเย็นขึ้นมาทันใด ก็คงเหมือนทั่วไปที่ไหนๆ ก็มีคนที่ยังแอบอยู่ และบางคนก็นิยมใช้ที่มืดเป็นหนทางระบายอารมณ์ ขอบอก ที่นี่เยอะมาก น่าจะเยอะมากกว่าสวนลุมบ้านเราอีกนะ

ปกติอิชั้นไม่มีนิสัยแอบดูคนเขาเวิร์คกันหรอกนะเพราะกลัว ยิ่งใกล้มืดแล้วละก็ อิชั้นต้องรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากสวนนั่นเลยทันที พอดีอยากแวะซื้อน้ำ (ดื่ม) ที่ซุ้มเค้าเตอร์บริเวณทางเข้าด้านหน้า ก็ได้มาเจอชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขาสวมกางเกงขาสั้นเหมือนจะมาวิ่งออกกำลังกาย อีชั้นไม่มีเวลาจะสนทนากับเขามากมาย เพราะต้องรีบกลับเข้าที่พัก อากาศช่างหนาวเหน็บ แต่เขาเข้ามาทัก และให้อีเมลพร้อมเบอร์โทรศัพท์

หลังจากนั้นสองวัน เป็นวันจันทร์ อิชั้นก็ลองโทรไปหาเขา (คุณอาจกำลังคิดว่า อิชั้นจะมีอะไรกับเขาละสิ เอาเถอะนะ อ่านต่อไป) เขาทำงานอยู่ที่ห้างแห่งหนึ่งในย่านนั้น เขาถามอีชั้นว่า ‘สนใจเซ็กส์หมู่ไหม’ ที่นี่เขาฮิตกันนะ เวลาวันเสาร์-อาทิตย์ ทีไรก็จะมีนัดกันประมาณ 10- 20 คน ไปเปิดโรงแรมกัน ส่วนค่าโรงแรมนั้นก็หารกัน ห้องหนึ่งก็ประมาณ 10 กว่าคน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ อิชั้นยังไม่ทราบ เพราะเราต่างคนก็ภาษาปะกิตไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไร แล้วเขาก็เมล์มาให้รายละเอียดสถานที่ทำการของกิจกรรม และเวลา สิ่งที่ต้องเตรียมไปก็ไม่มีอะไรมาก เขาบอกว่า แค่ ‘พรีเซ็นต์’ ตัวเองให้ดีก็แล้วกัน เผลอๆ ค่าโรงแรมไม่ต้องจ่ายด้วยซ้ำ

หลายเพลาผ่านไป อิชั้นมานั่งคิดอยู่นาน ตั้งแต่วันจันทร์ยันวันศุกร์ เอาล่ะนะ เลยตัดสินใจเอาวะ แค่อยากไปดูให้รู้เท่านั้นแหละ เพราะเขาบอกมาด้วยว่า ถ้าเราไปแล้ว ไม่ชอบ ปฏิเสธหน้างานได้เลย 

พอถึงวันเสาร์ได้เวลาตามนัด 19.45 ที่โรงแรมในย่านนั้น ค่าเข้าก็ตกเป็นเงินไทยราว ๆ 3,000 บาท ดูจากสภาพโรงแรมก็ไม่ค่อยดีมากนัก เก่าเป็นที่สุด แต่ทำไมไม่รู้ถึงแพงจัง อิชั้นไปถึงที่นั่นราว 20.20 สายไปหน่อย จะได้พอดูดี พอไปถึงก็เจอผู้ชายคนนั้นนั่งรออยู่ที่ล๊อบบี้ แล้วเขาก็พาอิชั้นขึ้นลิฟท์สู่ชั้น 5 ในบัดดล

มีคนมาเปิดประตูให้เข้าไป ตอนนั้นอีชั้นใจสั่นเหมือนตอนโดนเปิดซิงครั้งแรกอะไรทำนองนั้น ใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ มือเย็น แต่พอเปิดประตูเข้าไป ที่ใหนได้ ห้องที่พวกเขามาเปิดกันเป็นห้องสวีท คือแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน ห้องน้ำ ห้องรับแขก ห้องนอน มีทั้ง วีซีดี เปิดหนังประเภทที่คุณซ่อนอยู่ตามซอกหลืบในบ้านนั่นแหละ

พอเปิดประตูต่อ ผ่านเข้าไปที่ห้องนอน โหย…เท่าที่นับได้ก็ประมาณ 8 ชีวิต นี่ยังไม่นับที่อยู่ตรงโซฟาหน้าทีวีอีกนะ ห้องรับแขก มีอีก 4 ส่วนตรงระเบียงที่เปิดไฟสลัวๆ มีอีก 3 และอีกคนกำลังถอดเสื้อผ้าอยู่ เขาคงขึ้นมาก่อนหน้าอิชั้นไม่กี่นาที ทั้งหมดนี้ยังไม่รวม ที่ยังไม่มา ก็น่าจะ 20 คน อายุก็มีประมาณตั้งแต่วัยรุ่นจนถึง 50 ปี ทำให้อิชั้นนึกสัวเวชใจขึ้นมาทันที

ปกติก็เคยพบเคยเห็นแต่ในห้องมืดที่เซาน่าที่เมืองไทย ในนั้น เราก็รู้ว่ามีหลายคนแต่เรามองไม่เห็น แต่ในนี้มันเหมือนกับ…อธิบายไม่ถูก ดูเหมือนบางคนก็อัพยา ท่าจะดมเป็บเปอร์ซึ่งที่นี่มีขายอยู่ทั่วไปตามสถานบริการหรือเซาน่า และในเวลานั้นคนที่พาอิชั้นมาบอกว่า “พร้อมหรือยัง อาบน้ำก่อนมั๊ย”

อิชั้นส่ายหัว แล้วมานั่งพักตรงเก้าอี้ ใกล้กับโซฟาที่มี 4 คนกำลังเวิร์คกัน (ส่วนเขาจะทำกันท่าไหนนั้น อีชั้นขอ ไม่ขอเล่าล่ะ) และที่ทำกันนั้นอิชั้นงงมาก และสงสัยมากก็คือ คนเหล่านี้คงจะอวัยวะไม่ครบ 32 คือขาด ‘ยางอาย’ ขนาดอิชั้นเปิดประตูเข้ามา และยืนดูอยู่ ก็ยังโชว์กันต่อไป พอมีใครเข้ามาชวนอิชั้น ก็ส่ายหัวแล้วเซย์โนอย่างเดียว คือกะจะบอกว่า ยังไม่พร้อม

แต่ทันใดนั้นก็มีเกย์สาวนางหนึ่ง หล่อนอาการสาวแตกมาก (มากยิ่งกว่าอิชั้นในสายตาคุณๆ) ดูผิวพรรณหล่อนแล้ว ดีมาก แต่ใบหน้าช่างชราเหลือรับ น่าจะพอๆ กับอาอึ้มขายผ้าหน้าตลาดหงอก๊อก ผู้ชายที่พาอิชั้นมาบอกหล่อนคนนั้นว่า อิชั้นเป็นเด็กไทย เพราะอิชั้นบอกเขาไปว่า อายุแค่ 20 (โกหก) หล่อนคนนั้นก็เข้ามา จับมืออิชั้น ไปจับนมเหี่ยว ๆ ของหล่อน อิชั้นสะบัดมือทันที ทำเอาสี่คนที่เวิร์คบริเวณโซฟาตรงห้องรับแขก หยุดกิจกรรม หันมามอง อิชั้นเลยบอกว่า จะกลับแล้วนะ และก็ไม่พร้อมที่จะทำเรื่องบัดสีแบบนี้ (อันนี้นึกอยู่ในใจ ไม่ได้โกหก) แล้วก็โค้งคาราวะคำนับเขางามๆ หนึ่งทีเพื่อเป็นการขอโทษแบบสุภาพ (คิดว่าจะไหว้แบบนางงามเหมือนกัน แต่คงไม่เข้ากับสถานการณ์)

จากนั้นอิชึ้นก็จรลีออกไปทันที แล้วก็ล็อกประตูให้ด้วย ใจหนึ่ง ก้อ…เสียดาย ไม่ใช่!!!!!!!! ดีใจตะหากที่ตัวเราสามารถผ่านตรงนั้นมาได้ ทั้งที่มันไม่ใช่บ้านเรา เราจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครรู้

เท่าที่อิชั้นทราบมาจากสถิติ เกย์ในประเทศนี้เป็นเอช ไอ วีกันเยอะมาก ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันทีที่ถึงห้องพัก คนเรานะ พอพูดถึงเรื่องเซ็กส์ ที่นี่หาได้ไม่จำกัด เวลา สถานที่

ยิ่งถ้าเป็นฮ่องกง ได้ยินมาว่ามีการขายแบบแพ็กเกจเลยล่ะ เหมาเรือลำใหญ่ออกไปทัวร์กลางทะเล แถมห้ามใส่เสื้อผ้ามิดชิด คือเวลาเช็คอินที่เรือปุ๊บ เขาก็ให้ถอดเหลือแต่กางเกงใน หรือบิกินี่ ตัวเดียว คุณจะทำอะไรก็ได้บนเรือ ทั้งเซ็กส์ การพนัน ยาเสพติด สารพัดสารพันภายใน 3 วัน 2 คืน มีอาหาร เครื่องดื่มให้ บางที่ก็มีแบบไปกลับ( Full Moon Sex Party ) คือออกเรือไปตอนเย็นแล้วกลับเข้ามาตอนเช้าก็มี หาได้แบบง่าย ๆ ขอเรียกว่าเซ็กส์แบบสุกเอาเผากิน คืออิชั้นก็ไม่ได้นางฟ้าเทวนาที่ไหน แต่อิชั้นคิดว่า ไม่จำเป็นต้องไปในที่แบบนั้นก็ได้ (แบบเซ็กส์หมู่ที่พูดข้างต้น) อิชั้นคิดว่า มันเสี่ยงมากกับสถานที่แบบนั้น ทั้งยา ทั้งเหล้า แต่ที่อีชั้นไป ก็เพราะความไร้เดียงสาไง

-end-

รู้จัก “Miss Peru”

gogoboys1.jpg
เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 17-18 พ.ย. 2007 เซคชั่น Metro Life นสพ. ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันเสาร์

“ถ้าจะเปรียบเทียบกับคำสุภาษิต ‘ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา’ ก็ยังไม่ใช่ อย่างเอ ต่อให้ไปนอนในโลงศพ ก็ไม่หลั่งน้ำตา ต่อให้ปิดฝาโลงไป ก็ไม่หลั่งน้ำตา จนกระทั่งช็อตไฟนั่นแหละ”

“หนุ่มเอ” ในวัยสามสิบสองบอกพวกเราอย่างเรียบๆ เพื่อตอบข้อสงสัยที่ว่า ทำไมบางคนถึงชอบใช้เงินเลี้ยงเด็กนัก?

เอเป็น “มิสเปรู” คนหนึ่ง เราจะพบมิสเปรูได้ในทุกสังคมแหล่ะครับ ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาจะมีลักษณะร่วมกันก็คือ ทำงานหาเงินเก่ง จนมีทุนทรัพย์เหลือเฟือพอที่จะแบ่งปันให้น้องๆ ผู้ยากไร้และเล่าเรื่องเก่ง คนที่จะมาอยู่ในจุดนี้ได้มักจะทำงานแล้วมาพักหนึ่ง แต่แทบจะไม่น่าเชื่อเลยล่ะครับว่า วงจรชีวิตมิสเปรูของเอเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาอายุยี่สิบต้นๆ เท่านั้น

“ตอนนั้น 21-22 ก็รู้จักใช้ชีวิตแหล่ะครับ ทั้งไปเรียนด้วย ทำงานไปด้วย ใครล่ะจะคิดว่าจะขอเงินพ่อแม่มาใช้ทางนี้”

“ทางนี้” ของหนุ่มเอหมายถึงเดินเข้าไปนั่งในบาร์อะโกโก้ แล้วพาพนักงานบริการทางเพศออกมาด้วยหนึ่งคน ประสบการณ์ครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นที่เชียงราย บ้านเกิด จากการชักชวนให้เข้าวงการโดยเพื่อนคนหนึ่งผู้จัดเจน เอยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่ได้เดินเข้าไปไม่ลืมเลือน

“ครั้งแรก ก็ตื่นเต้น มีสองมุม มุมหนึ่งตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็น เลยถามตัวเองว่า อีกอย่างไม่รู้จะวางตัวยังไง safety ยังไง ตรงหน้ามันเป็นความจริงหรือเปล่าเนี่ย เพราะเราเพิ่งไปสถานที่แบบนั้น เลยทำตัวไม่ถูก สถานที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร มีเก้าอี้ มีเวทีอยู่ตรงกลาง แขกก็นั่งรอบๆ เวที มีเสา เด็กๆ ติดเบอร์ ใส่ underwear เป็นจุดขาย พอถึงการแสดงชุดไคลแม็กซ์ ก็มีบ้างที่ไม่ใส่อะไรเลย”

ครั้งแรกของเขาสร้างความประทับใจให้ไม่น้อย และเพียงครั้งแรก เขาก็ตัดสินใจจะรับสมญานามมิสเปรูอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง น้องคนนั้นซึ่งอายุอ่อนกว่าเอเพียงปีเดียวได้รับการ “เลี้ยงดูปูเสื่อ” และยังรับเป็นแฟนกับเขาอีกด้วย ทั้งสองตกลงว่า ต่างคนยังต่างทำงานของตัวเองไป เพราะตอนนั้น เอรู้ว่าดูแลตัวเองได้ แต่จะดูแลอีกคนคงยังไม่ไหว

ผมฟังเอเล่าไป ก็พยายามทำความเข้าใจถึงวิธีคิดของมิสเปรูทั้งหลาย

ขณะที่ใครๆ ก็รู้ว่า การเอาเงินไปยึดผูกใครไว้ จะไม่มีทางสำเร็จที่จะได้ความรักหรือความสัมพันธ์ที่ดี กลับมา สำหรับเอ เขาคิดเสมอว่ามันเป็นความเสี่ยง แต่มันเป็นความเสี่ยงที่มีรสชาติน่าลิ้มลอง เหมือนเล่นพนัน ซึ่งเขาปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่า เขากำลังต้องการมองหาความรักในความเสี่ยงแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น

“วันแรกที่ไป บอกตรงๆ ครับ 60% คืออยากได้สิ่งที่เราอยากได้ ที่เหลืออีก 40% คืออยากได้อย่างอื่น
ที่พูดอย่างนี้เพราะสังคมเอเป็นสังคมปิด ทางเลือกมี choice เดียว จะให้เอไปเจอใครที่ไหนล่ะ? สถานที่เที่ยว หรือเจอตามที่จิบกาแฟ เอไม่มีที่ให้เลือกอย่างนั้น”

ระยะเวลาเกือบสองปีผ่านไป เอไม่ได้นับหรือบันทึกว่า ได้ “เปย์” น้องคนนี้ไปเท่าไหร่แล้ว สุดท้ายเมื่อจับได้ว่าข้ออ้างต่างๆ รวมทั้ง เรื่องเล่าแสนคลาสสิคที่ว่า มารดาของผมป่วย หรือบิดาเข้าขั้นโคม่านั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ นั่นแหละ เอถึงได้รู้ตัวว่า คงถึงเวลาเป็นอิสระเสียที

เขาเดินจากมาและบอกว่าไม่ได้ทำให้ตัวเองเจ็บเกินไปนัก เพราะที่ผ่านมา คิดอยู่เสมอในแง่บวกที่ว่า ตัวเราทำดีแล้ว จะต้องได้ดี

“นี่คงเป็นข้อเสียของการที่เราเกิดมา แล้วเชื่อมันตัวเองว่า ทำทุกอย่างดีแล้ว เอไม่ได้ตามไปดูหรอกว่า เขาใช้เงินจริงๆ หรือเปล่า เพราะเราเชื่อมันตัวเอง เราให้เขาแล้ว เค้าก็คงทำตามสิ่งที่เขาพูด” เอเล่า

สภาพแวดล้อมใหม่ๆ อาจมีส่วนช่วยทำให้คนเราคิดได้ แล้วหนุ่มเอก็เดินทางมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เพื่อให้จบปริญญาตรี ที่เมืองหลวง เขาน่าจะมี “choice” เยอะแยะให้เขาเลือกหากจะหาแฟนสักคน แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังคงคิดว่า “คนอย่างเขา” คงไปไหนไม่รอดนอกจากบาร์อะโกโก้ หรือไม่ก็สปานวดผู้ชาย

“เด็กคนหนึ่งจากเชียงราย เข้ากทม. พี่คิดดู เราก็เป็นคนที่ไม่อยากให้พ่อแม่มาลำบาก สังคมกทม. เป็นสังคมคนมีเงิน และคนไฮโซ คนมีทางเลือกอื่นๆ แต่เอก็ไม่ได้มีทางเลือกเหมือนคนอื่น จะให้เอไปบาร์แล้ว ขอชนแก้วกับคนอื่น เอไม่กล้าหรอก ก็เลยต้องไปบาร์แบบเดิม อยู่แถวสีลม-สุรวงศ์ ครั้งแรกที่ไปก็ยังคงตื่นเต้น ขนลุก นึกว่าได้เจอหล่อสุดที่เชียงรายแล้ว ที่นี่ก็หล่อเหมือนกัน หล่อเหมือนในแม็กกาซีน บอกแบบไม่อายนะพี่ ถ้ามีตังค์เนี่ย จะเอาหมดเลย” เอหัวเราะ

ผมคิดว่า คนเราบางครั้งก็มองหาบางสิ่งในที่ที่ไม่ใช่ แต่สำหรับเอแล้ว เขายังคงมีความคิดว่า เขาไม่มีทางเลือก นอกจากกิจวัตรเดิมๆ เขารู้แต่ว่า เขาไม่ได้ต้องการเพียงเซ็กซ์ ลึกๆ แล้ว เอก็ยังต้องการคนที่รัก และคนที่คอยดูแลอยู่ดี แล้ววงจรชีวิตของมิสเปรูของเขา ก็ยังคงหมุนต่อไป

cha.jpg
แชะ! แชะ! หนังสือพิมพ์ออนไลน์ชื่อดังจอมล้อเลียน “theonion.com” ซึ่งเคยนำเสนอว่า หลังจากเด็กๆ อ่านแฮรี่พอตเตอร์ ก็หันไปฝึกวิชาเวทมนตร์กันยกใหญ่ มีคนนำข่าวล้อเล่นชิ้นไปเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตมาแล้วหนหนึ่ง ล่าสุด ข่าวล้อเลียนเรื่องหนึ่งเรียกเสียงหัวเราะได้ไม่น้อย : คุณพ่อมือใหม่ชื่อนายโจ ออบริค อายุ 32 กำลังสงสัยว่าบุตรชายวัยหกเดือนของเขา “สงสัยจะเป็นเกย์” เพราะเจ้าหนูไมเคิลมีอาการดังต่อไปนี้ กล่าวคือ หัวเราะเริงร่าได้ตลอดเวลา เจอคนแปลกหน้าก็ยิ้มเข้าใส่ ไม่ถูกใจอะไรก็ร้องไห้โยเย ชอบข้าวของและสิ่งต่างๆ ที่มีประกายแวววับ สีสันสดใส รวมไปถึงดอกไม้ ชอบกระโดดโลดเต้นเหมือนเกย์อยู่ในคลับ และล่าสุดที่ขัดใจคุณพ่อเอามากๆ ก็คือไมเคิลชอบให้เพื่อนผู้ชายของคุณพ่อเล่นด้วยและอุ้มอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะชอบนั่งตักแล้วหัวเราะร่า “แต่ผมก็รักลูกผมนะครับ ผมคงไม่ทำตัวเหมือนพ่อผมที่ทิ้งแม่ให้เลี้ยงดูผมกับน้องสาว แล้วเอาแต่กินเหล้ากับเพื่อน ผมจะคอยอยู่ใกล้ๆ เขา แล้วก็ดูแลเขา” คุณพ่อมือใหม่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ แชะ! แชะ!

-end-

ไม่มี ‘เกย์’ ในเขมร

gay man
เลิกแอบเสียที 10-11 พ.ย. 2007 Metro Life นสพ. ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันเสาร์
vitadam2002@yahoo.com

ขณะกำลังนั่งเขียนต้นฉบับประจำสัปดาห์นี้ ผมอยู่ที่เสียมเรียบครับ ก่อนออกจากกทม. พอบอกเพื่อนๆ ว่าจะไปกัมพูชา อาทิตย์หน้าจะไม่อยู่ทั้งอาทิตย์ ใครๆ ก็บอกผมว่าอย่าพลาดนครวัดนะ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมว่าพลาดไม่ได้เหมือนกัน ก็เรื่องเกย์ในเขมรนี่แหละ

ประจวบเหมาะพอดี เมื่อปลายเดือนตุลาที่ผ่านมา ประเทศนี้ตกเป็นข่าวใหญ่ในประเด็นที่น่าสนใจมากๆ

ท่านนายกรัฐมนตรีฮุนเซนออกมาประกาศตัดพ่อตัดลูกกับบุตรสาวบุญธรรม ด้วยเหตุที่ว่า หล่อนตัดสินใจอยู่กินกับผู้หญิงอีกคน แล้วท่านก็ย้ำว่า “ผิดหวังมากๆ” กับเรื่องนี้ ถึงขนาดจะยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อความชัวร์ กันไม่ให้ลูกคนนี้มายุ่งเกี่ยวกับกองมรดกเด็ดขาด

แต่ในเวลาเดียวกันกับที่ท่านให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ ในงานพิธีมอบปริญญาบัตรของสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ท่านก็เรียกร้องให้นักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง และประชาชนอย่ากีดกันทางเพศ อย่าเลือกปฏิบัติกับประชากรกลุ่มนี้ โดยบอกว่า จริงๆ แล้วเกย์ส่วนใหญ่มี “ ความประพฤติดี ไม่เมาเหล้า ไม่เมายา ไม่บ้าขับรถซิ่ง”

ท่านพูดได้ประทับใจยังงี้แล้ว ไฉนท่านจึงไม่ดีใจกับลูกสาวที่กำลังมีความรัก? ผมว่าประชาชนชาว “ขะ-มาย” ที่ได้รับฟัง คงงงๆ เหมือนกัน ว่ามั๊ยครับ?

อีกเรื่อง เป็นข่าวเปิดประเด็นร้อนเกี่ยวกับอัตราการติดเชื้อเอช ไอ วี ในกลุ่มผู้ชายที่เพศสัมพันธ์กับผู้ชาย คนทำงานด้านนี้จะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า MSM (Men who have sex with men) ซึ่งไม่ได้หมายถึงเกย์แต่อย่างเดียว แต่รวมถึงผู้ชายคนไหนก็ได้ ที่มีเซ็กซ์กับผู้ชายด้วยกัน เช่นผู้ชายขายบริการ หรือคนที่ถูกจองจำในคุก หรือคนรักสนุก

ในข่าวเล่าว่า ในสวนสาธารณะหลายๆ แห่ง มีการพบปะกันของผู้ชายที่ต้องการระบายอารมณ์ทางเพศและคิดว่า การมีอะไรๆ กับผู้ชายด้วยกัน สะดวก รวดเร็ว ราวกับไปเดินเล่น และกินไอติม แต่คนเหล่านี้ ไม่เรียกตัวเองว่าเกย์

ผมพกพาความงงๆ มาถึงเสียมเรียบในเย็นวันอาทิตย์ พอลงจากสนามบินมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง สิ่งแรกที่อดทำไม่ได้ก็คือ มองหาดู… มีเกย์เขมรอยู่ตรงไหนบ้างนะ?

ผมว่า มีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองอยู่คนสองคนที่ดูแววตาแล้ว ท่าทางจะใช่ แต่เอาเถอะ ผมมีเวลาอีกตั้งเจ็ดวัน เดี๋ยวค่อยๆ ไปหาต่อเอาข้างหน้าก็ได้ แต่พอขึ้นรถพร้อมกันทั้งคณะเพื่อเดินทางเข้าที่พัก ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า คนขับรถก็น่าจะเป็นหรือเปล่า แหม…ก็เขาช่างเฟร็นลี่ เป็นกันเองเสียเหลือเกิน เอ…แล้วเขาจะรู้หรือเปล่าว่า เราทั้งรถ ‘เป็น’ กันหมด

กว่าวันแรกแห่งการประชุมจะผ่านไป ผมง่วงอยู่นาน ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเหรือเพลียเพราะคอยมองหาเกย์เขมรหรอกครับ แต่ใจน่ะอยากจะออกไปสำรวจพื้นที่ให้รู้แล้วรู้รอด ในที่สุด ตอนเย็นๆ เราก็ได้เพื่อนร่วมประชุมที่เป็นคนท้องถิ่นพาเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง

สวนนั่นมีชื่อว่า เอกราช อยู่หน้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง มีรถวิ่งอยู่รอบสนาม นึกภาพสนามหลวงบ้านเราดู แต่ขนาดสักหนึ่งในห้ากระมัง เพื่อนเขมรเล่าว่า สักสามทุ่มก็จะมีคนมาเดินเล่นกัน เราลุยไปถึงที่ ก็เจอล่ะครับ ในความมืดสลัวๆ จะเห็นผู้ชายจะเดินเป็นคู่ๆ บางคนก็นั่งคุยกัน แต่ที่สังเกตดู พวกเขาไม่ได้นั่งคุยแบบทั่วไปนะครับ ตัวแทบจะติดกันเลยทีเดียว เสียงคุยก็เบาๆ เราเห็นบางคนเดินจูงมือกันเดินไปช้าๆ

“ผู้ชายเขมรเดินจูงมือกันอย่างนี้แหละ เป็นเรื่องปกติ อาจจะเป็นเกย์ หรือไม่เป็นเกย์ก็ได้นะ” เพื่อนเขมรที่เป็นสาวประเภทสองบอก

แต่ผมว่า น่าจะเป็นทั้งสวนนั่นแหละ ผู้ชายทั่วๆ ไป จะมาเดินเล่นสองต่อสองกันอย่างนี้เหรอ เกย์อย่างเราทั้งนั้นแหละ?

เพื่อนอีกคนเล่าต่อ ที่กัมพูชา คำว่า “เกย์” ไม่เป็นที่รู้จักกันหรอก เขารู้จักกันแต่ “กะ-เตย”

แล้วตกลง เกย์ กับกะเตยที่นี่ จะเรียกปนๆ กันไปอย่างนี้เหรอ?

“ไม่หรอก คนที่นี่เขาแบ่งเป็น ‘short-hair MSM” (ภาษาเขมรเรียกว่า สะ-ไคล) สำหรับเรียกคนที่ดูเหมือนผู้ชายทั่วๆ ไป ส่วนคนที่ออกแนวสาว ผมยาว หรือเป็นกะเตยเนี่ย จะเรียกว่า ‘long-hair MSM’ (สะ-แวง) ”

น่าสนใจมั๊ยล่ะครับ เอา “salon” มาอธิบายเรื่อง “sexual identity” ได้ แต่ผมล่ะเสียดายจริงๆ ไม่ได้ถามต่ออีกว่า แล้วถ้าเป็นพวกผมหยิก ผมฟู หรือผมแตกปลายเนี่ย จะเอามาใช้งานอะไรได้มั่งมั๊ย? แต่จะว่าไปนะครับคุณผู้อ่าน… จะช็อทแฮร์ ลองแฮร์ ผู้ชาย MSM กลุ่มนี้ก็คงสบายแฮไม่น้อย เพราะที่เห็นๆ เดินอยู่ในสวนเนี่ย จำนวนไม่น้อยทีเดียว

แต่ในความเป็นจริง พอคนเราไม่มีที่ทางเป็นของตัวเอง หรือไม่มีความสำคัญในสายตาของสังคม ความรู้สึกถึง “ตัวตน” และ “หมู่คณะ” (sense of identity and community) ในตัวคนนั้น ก็เกิดได้ยาก เกย์หลายๆ คน เลยไม่มีโอกาสได้สำรวจตัวเอง ไม่อาจเรียนรู้ ไม่อาจปรับตัว ให้เท่าทัน ไม่ได้พัฒนาศักยภาพจากความเป็นจริงขอตัวเอง พอมีปัญหาอะไร ก็มักคิดโทษตัวเองไว้ก่อน มักจะเป็นคนน้อยใจในโชคชะตาอยู่เสมอ

ที่เสียมเรียบ ไม่มีเซาน่าเกย์ แต่มีผับเกย์อยู่สองสามแห่ง มีผับรวมอยู่แห่งหนึ่งที่ คนในพื้นที่บอกว่า เฟร็นลี่กับชายรักชายมากๆ แต่ได้ยินมาว่า ปีหน้าจะมีสปานวดสำหรับเกย์ที่นี่นะ ผมหวังว่าถ้ามาอีกคราวหน้า คงไม่ได้ต้องไปมองหาเกย์ แต่ในสวนสาธารณะแต่อย่างเดียว พวกเขาคงไม่ต้องหลบซ่อนมากขึ้น หรือว่า ผมเจอพวกเขาแล้วล่ะ และพวกเขาเป็นฝ่ายมองผมอยู่
และสงสัยว่า เกย์อย่างไทยๆ เป็นยังไง

แชะ! แชะ! คาราโอเกะเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่สมานฉันท์ได้อย่างดีเชียว เที่ยวนี้ หลังจากให้บรรดาเพื่อนเขมรพาเที่ยว พากินแล้ว ก็ต้องตอบแทนเขาสักหน่อย ผมเสนอว่าพาเราไปร้องเพลงก็แล้วกัน… หัวหน้ากลุ่มคณะเขมรโทรศัพท์จองห้อง แล้วบอกเราว่าที่นี่เครื่องเสียงดี ห้องส่วนตัวก็มี พอแก๊งค์เกย์ลงจากรถ โอ้ว แม่เจ้า! แทบไม่เชื่อสายตาเลยล่ะครับ ผู้หญิงเกือบสามสิบคนแต่งตัวเซ็กซี่นั่งอยู่หน้าบาร์คาราโอเกะสลอน พวกเรารีบเดินเข้าไปข้างใน เจอห้องใหญ่โตโอฬารขนาดเต้นบอลลูมได้ ยังไม่ทันตูดจะได้แตะเบาะ บรรดาสาวๆ ที่อยู่ด้านหน้าก็มาร์ชชิ่งกันเข้ามา มาเป็นสิบเลยล่ะครับ โอย ไม่เอานะ ไม่ต้องมานั่งเป็นเพื่อนผม ผมพูดเป็นภาษาไทยออกไป ในใจก็นึกโกรธเล็กๆ ที่หัวหน้าทัวร์เขมรยืนเฉยอยู่ได้ รู้ก็รู้อยู่ว่าไม่ถนัดแนวนี้ บรรดาสาวๆ พอเข้ามายืนประจันหน้าเรา ส่งเสียงภาษาประจำชาติจนผมงง แล้วก็ยื่นกระดาษเคลือบพลาสติกมาให้ดูตรงหน้า ไม่ทันดูอะไรทั้งสิ้นหรอกครับ พวกเธอชักจะรุกหนักไปหน่อย ผมเลยโพล่งออกไป ไม่ต้องคิดแล้วล่ะ “ไม่ครับ ไม่ต้องครับ ไม่เอาครับ ไม่ต้องมานั่งด้วยนะครับ” แต่ดูเหมือนพวกเธอจะไม่เข้าใจ ผมเลยพูดเสียงแข็งๆ ช้าๆ หวังว่า คงจะ ‘อ่านปากผมนะ’ได้ว่า “ม่ายยยย ชอบบบ ผู้หญิงงงงงงจ้ะ ชอบบบบบ ผู้ชายยยยยยย” แล้วผู้หญิงคนหนึ่งก็พูดภาษาปะกิตตอบมา ว่า “ที่มากันเนี่ย พวกหนูมาแนะนำเบียร์นะคะ” แชะ! แชะ!

-end-

คืนวันหนึ่งที่ผมพึ่ง “ตื่น” ขึ้น

art2tif.jpg
เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 3-4 พ.ย. 2007 เซคชั่น Metro Life นสพ. ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันเสาร์

“เอก” ไปทานข้าวกับแฟนเก่าที่ยังคบหาเป็นเพื่อนกันอยู่ ส่วน “วิชัย” ไปกับเพื่อน และแล้ว…สายตาที่ส่งให้กันข้ามโต๊ะอาหารก็พาทั้งสองมาเจอกันตรง “หน้าสลัดบาร์” เป็นการพบกันตัวต่อตัวโดยมีผัก ผลไม้ และเดรสซิ่งน้ำจิ้มสลัดเป็นพยานรู้เห็นตอนที่ทั้งสองแลกเบอร์กัน

คุณผู้อ่านครับ หลายๆ คนชอบถามผมว่า พี่ๆ ผมจะไปหาแฟนได้ที่ไหน ถ้าไม่ใช่ในเน็ต หรือตามสถานบันเทิง มันช่างยากจริงๆ แต่บางคนก็หาได้ง่ายจริงๆ อย่างเอกกับวิชัย เรื่องมันจะยากตรงคบกันไปนี่แหละ แต่ถ้าเป็น one-night stand ก็อย่าคิดมาก

สำหรับเอกกับวิชัยก็เช่นกัน เรื่องที่ยากของทั้งสองก็คือ ตอนนั้นวิชัยมีแฟนอยู่แล้ว

เอกบอกว่า เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่หัวใจเรียกร้องให้อยากลองคบกับวิชัยดู และในที่สุดแฟนของวิชัยก็รับรู้ความจริง และเลิกรากันไป เอกตัดสินใจย้ายเข้าไปอยู่ที่คอนโดของวิชัย และเริ่มต้นกันใหม่

“ผมยังคงนึกๆ อยู่เลยนะว่า สิ่งที่ผมทำจะย้อนกลับมาหาผม” เอกเล่าใฟ้ฟัง แต่ตอนนั้น เขามั่นใจแล้วว่า วิชัยคือคนที่ใช่ เขาอยากจะทุ่มเททั้งหัวใจ

ไม่เพียงแต่ร่วมชีวิตกัน ทั้งสองคนยังลงมือทำธุรกิจร่วมกันอีกด้วย ช่วงปีแรกต่างคนก็ต่างมีงานประจำ แต่ด้วยความโหยหาอิสรภาพจากการงาน เขาทนเหนื่อยและเก็บหอมรอมริบ ช่วยกันทำงานจนธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ของเขาเจริญก้าวหน้า เปิดสาขามากมาย

“ตอนนั้นเราช่วยกันดีคับ ส่งงาน คิดงาน เครียดๆ ก็เหมือนกันเพราะช่วยกันทำตลอด เราเข้ากันได้ดี เหมือนหยินกับหยาง ผมเองเป็นคนใจร้อน ส่วนเขาใจเย็น เราอยู่ด้วยกันดี กิจการก็ดีครับ จากมีรถคันเดียว เราก็มีรถใช้คนละคัน” เอกเล่า

ที่น่าปลื้มก็คือ ครอบครัวของทั้งสองคนรับรู้ความสัมพันธ์ของเขา และดูเหมือนทุกอย่างน่าจะราบรื่นลงตัว

“คนเราก็ต้องการความมั่นคงในชีวิต แต่คนราบางคน พอมีอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกมีความต้องการตามมามากขึ้น”

วิชัยเริ่มเปลี่ยนไป เอกพยายามสกัดกั้น “สิ่งยั่วยุ” ทุกอย่าง ไม่ว่า อินเทอร์เน็ต เว็บ ห้องแชททั้งหลาย เพื่อให้แน่ใจว่า วิชัยจะไม่พยายาม “แสวงหา” เกินขอบเขต แต่แล้ว เขาก็สกัดกั้นมือที่สามที่เข้ามาในชีวิตของทั้งคู่ไม่ได้

“ผมเป็นคนเข้านอนเร็วน่ะครับ ส่วนเขาก็จะนั่งใช้คอมพ์ไปตอนดึกๆ”

เขาจับโกหกวิชัยได้ในที่สุด และเสียใจมาก ในที่สุดวิชัยก็เริ่มขยายความต้องการของเขา เขาออกไปพบกับคนอื่นๆ ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในวัยรุ่น เด็กมหาวิยาลัยดูเหมือนจะเป็นของโปรดของวิชัย และการเที่ยวกลางคืนก็มีบ่อยขึ้น เอกเองพยายามประคับประคองชีวิตคู่และธุรกิจร่วมกันเอาไว้ เขายังคงคิดว่า สักวันหนึ่งวิชัยจะคิดได้ แต่ระหว่างนี้ เอกได้แต่โอนอ่อนผ่อนตามไปเรื่อยๆ แต่ก็รู้ว่าทั้งสองเริ่มห่างเหินกัน

“ผมเลยยอมให้เขาก็ได้ แต่เราตกลงกันว่า อย่าพาเอาใครเข้ามาบ้าน”

เพื่อนๆ บางคนของเอกสงสัยว่า เอกปล่อยให้เรื่องเลยเถิด และเป็นฝ่ายยอมต่างๆ นานาได้ยังไง หรือว่าเอก “ติดเซ็กซ์” และไม่อยากเลิกกัน?

เอกบอกอย่างเปิดอกว่า หลังจากที่วิชัยเริ่มทำตัวเจ้าชู้และมีเล็กมีน้อยไปเรื่อย เขาเองเริ่มไม่ไว้ใจ กลัวว่า วิชัยจะนำโรคภัยมาให้ จากที่เคยมีเพศสัมพันธ์กันด้วยความไว้วางใจและไม่เคยใช้เครื่องป้องกัน เอกบอกว่า เขารู้สึกถดถอยทางอารมณ์ไปเลย

“ผมกลัวนะครับ พอคนเราเริ่มไม่ไว้ใจกันแล้ว”

เอกยังคงรอ รอคอยวิชัยอยู่เสมอมา หวังว่าวันหนึ่งวิชัยคงคิดขึ้นได้ และเลิกทำตัวอย่างที่เป็น เห็นความสำคัญและคุณค่าของการได้อยู่ร่วมกันมาถึงห้าปี

แต่ก็คงเหมือนคู่รักหลายๆ คู่ที่กำลังประสบปัญหาอยู่น่ะครับ เราจะสังเกตเห็นว่า จะมีอยู่คนหนึ่งที่จะมีความหวังอยู่เสมอว่า คนของเราจะกลับมาแล้วเป็นคนเดิม สำหรับวิชัยแล้ว ดูเหมือนเขายังไม่ไปถึงจุดๆนั้นเสียที จุดที่ตัวเองคิดว่า พอแล้ว ฉันทำมาพอแล้ว สิ่งต่างๆ ที่วิชัยทำ ทำให้เอกเสียใจอยู่ทุกๆ วัน เรื่องร้องไห้คร่ำครวญกับเพื่อนสนิท เป็นเรื่องปกติที่เอกทำอยู่บ่อยๆ

และแล้วความกลัวอย่างหนึ่งของเอกก็เกิดขึ้น วันหนึ่ง เขาต้องงัวเงียลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้านให้วิชัยตอนตีห้า และพบว่า วิชัยพาหนุ่มคนหนึ่งกลับมาบ้านด้วย วิชัยแนะนำเอกให้เด็กหนุ่มรู้จักว่า “พี่เอกเป็นเพื่อน” และบอกเอกหน้าตาเฉยว่า น้องคนที่เห็นนี่ “เป็นแฟน”

ในจังหวะที่วิชัยไม่ได้อยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มวัย 21 ถามเอกย้ำอีกครั้งว่า “พี่เป็นอะไรกัน”

“ผมก็บอกเขาตรงๆ นะว่า ผมน่ะเป็นแฟน”

ในวินาทีนั้นเอง เอกเล่า แสงสว่างบางอย่างก็เกิดขึ้นในห้วงคิดของเขา

“พอผมได้พูดคุยกับเขา ได้ถามน้องคนนั้น ผมเองกลับเป็นฝ่ายคิดได้ ผมคิดได้ว่า ความจริง ตัวผมเอง มีค่ามากกว่าเด็กคนนั้นหลายเท่านัก เด็กที่ยังเรียนไม่จบ เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เด็กที่ยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย เรามีงานมีการทำ เรามีความรู้ ใช่สิ แต่เราโง่มาเองตลอด เราจะเอาตัวเราไปเปรียบกับคนที่ไม่มีอะไรเลยได้ยังไง”

เอกยังบอกด้วยว่า เขาพยายามตั้งสติ ไม่เกรี้ยวกราด และค่อยๆ เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ เขาพยายามสวดมนต์อยู่ทุกวัน แผ่ส่วนกุศลให้กับวิชัย

“หลังจากเรื่องนั้น เขาโทรมาขอโทษผม เราก็แยกกัน จัดการเรื่องธุรกิจที่ทำด้วยกัน ผมเป็นคนเดินจากมา แต่เขาก็ยังโทรมาอีก พูดดีด้วย แต่ผมก็รู้ว่า เขาคงมีเรื่องอะไรเดือดร้อนให้ช่วย สำหรับผม เราจบกันไปแล้ว ผมจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ ไม่จะไม่ช่วยเขาเต็มร้อย ผมตื่นขึ้นแล้วล่ะครับ”

แชะ! แชะ! คุณ “ไมค์ โซเพอร์” แห่งอังกฤษเพิ่งจะมีผลงานนิยายฉบับแรกได้รับการตีพิมพ์ ตอนแรกๆที่เขาเขียน ก็ปกปิดเพื่อนๆ ที่พักอยู่บ้านพักคนชราด้วยกัน แต่พอเพื่อนๆ เริ่มรู้ โดยเฉพาะเพื่อนๆ ผู้หญิงที่เริ่มเซ้าซี้อยากอ่าน เขาเลยตัดสินใจ “เลิกแอบ” ล่ะครับ คุณไมค์อายุ 93 ปี และต่อมาเขาตัดสินใจเลิกแอบกับบรรดาหลานๆ ของเขา ซึ่งทุกๆ คนก็มอบความรักและปรารถนาดีให้เขา แชะ! แชะ!

-end-