Bkk Post: We are family

พิเศษ

BKK Post ใจดี ลงเรื่องให้หน้าแรกของเซคชั่น Outlook นำมาฝากไว้ตรงนี้ เผื่อใครอยากอ่านนะครับ
(14 apr 2010)

Link: http://www.bangkokpost.com/print/36056/

Bangkok Post on Bangkok Radio For Men FM 102

ตีสิบ: เกย์-ตุ๊ด ถ้าไม่อยากข้ามเพศ ห้ามลอง

พิเศษ

รายการตีสิบ 6 เมษ 2553

อนันต์แปลงโฉม เลียนแบบเป็นจินตหรา

เนื้อหารายการตีสิบ ช่วง “สนทนา” ตอน: เกย์-ตุ๊ด ถ้าไม่อยากข้ามเพศ ห้ามลอง
ออกอากาศ: 6 เมษ. 2553
ผู้สัมภาษณ์: วิทวัส แขกรับเชิญ: อนันต์ บุญกลาง

วิทยา แสงอรุณ

เนื้อหาสรุป: “อนันต์” เคยมาแข่งขันช่วงดันดาราและมาออกทีวีในรายการนี้
มาก่อน ทีมงานไปพบว่า เขามีประวัติน่าสนใจ โดยนายอนันต์อ้างว่า เคยเป็นผู้ชาย
รักผู้หญิงมาก่อน ต่อมามีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมห้อง และตกหลุมรักกัน
ทั้งๆ ที่ทั้งสองคน “เป็นผู้ชาย”

ทางรายการตั้งประเด็นว่า ถ้าผู้ชายสองคนเกิดมีอะไรกัน สามารถ “เบี่ยงเบนทางเพศ”
ได้ โดยทั้งพิธีกร (คุณวิทวัส) พยายามจูงผู้สัมภาษณ์ให้เข้าประเด็น
เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับหัวข้อที่ตั้งไว้ ทั้งๆ ที่ผู้สัมภาษณ์ก็ไม่แน่ใจว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและผู้ชายคนนั้นคืออะไรกันแน่

ตลอดทั้งรายการทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ ใช้คำว่า
“เบี่ยงเบนทางเพศ” โดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริงอยู่หลายครั้ง และตั้งคำถาม
เป็นห่วงเยาวชน กลัวจะเบี่ยงเบน หากมีอะไรกับเพื่อนชายด้วยกัน

ตอนท้ายพิธีกรสรุปว่า “การเบี่ยงเบนทางเพศไม่ใช่เรื่องไม่ดี
แต่ที่แน่ๆ เป็นเรื่องผิดปกติแน่นอน คุณพ่อคุณแม่ดูให้ดีแล้วกัน”
____________________________________________________________
หมายเหตุ: ด้านล่างนี้ ไม่ใช่ถอดเทป และไม่ได้ต่อเนื่องกัน เป็นเนื้อหาที่เลือกมา

พิธีกร (เปิดประเด็น): ไม่อยากข้ามเพศไปเป็นเกย์ตุ๊ดแต๋ว
อย่าได้ลองมีอะไรกับผู้ชายด้วยกับเพศเดียวกันเด็ดขาด
ถ้าได้ลองเพียงครั้งเดียว อาจกลับมาเป็นเพศเดิมไม่ได้

เขายอมรับว่า เป็นเกย์ตั้งใจ เพราะไปลองเพียงครั้งเดียว
ชายแท้ที่ข้ามเพศไปเป็นเกย์แบบถาวรเกย์แบบไม่ได้ตั้งใจ

วิทวัส: ชายแมนแมนแท้สามารถเแปลงโฉมไปอีกคนได้

วิทวัส: การทดลองสิ่งผิดแปลกจากธรรมชาติเพียงครั้งเดียวกลายไปเลย

วิทวัส: จริง เมื่อก่อนเป็นผู้ชายแท้ ผู้ชายทั้งแท่ง100% ชายจริงๆ เกือบแต่งงานกับผู้หญิง

อนันต์: อายุ16 มาทำงานโรงงาน เคยชอบผู้หญิง จะไปขอผู้หญิงคนนั้น
พอกลับบ้าน ไปหาเขาที่ห้อง เห็นเขาอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง แต่ตรงนี้ไม่ใช่จุดเบี่ยงเบน

วิทวัส: แต่ส่วนหนึ่งได้รับความผิดหวังจากความรัก
ที่ไปอยู่ด้วยคือผู้ชายปกติที่ไม่ได้เบียงเบนทางเพศด้วยกัน

อนันต์: วันนี้เรามีอะไรกัน อย่าคิดอะไรมาก มันเป็นไปไม่ได้ (พูดกับผู้ชายคนนั้น)

วิทวัส: ลองเล่นสนุกๆ

อนันต์: เขากลับมามาบอกรักเราถึงเราจะเป็นผู้ชายด้วยกันเราคือ
คนที่เขารัก เขาบอกกลับบ้านไมได้บอกจะกลับไปแต่งงานคบกับเรา
เรามีความเป็นผู้หญิงมากกว่า พออยู่นานๆไปขาดเขาไม่ได้

คุณพ่อรับไม่ได้เพื่อนไปบอกว่า ลูกไปอยู่กรุงเทพเบี่ยงเบนทางเพศ
เอาผู้ชายด้วยกัน แม่ไม่เชื่อ เพราะลูกเคยบอกว่า จะเอาผู้หญิง
แม่เลยลองบอกว่าป่วย ก็เลยไปด้วยกันกับแฟน
ความเคยชินอยู่ด้วยกันตอนเช้าแม่ตื่นมาเจอหนุนแขนอยู่
แม่ถามเป็นอะไรกันบอกแม่มันเผลอ แม่เลยไปบอกพ่อ
พ่อล่ามโซ่เอาไว้ หาว่า เป็นบ้ารักผู้ชายด้วยกัน
แฟนมารอทุกวัน พ่อไม่ให้เข้าบ้าน แม่สงสารปล่อยให้หนีตามกันไป

อยู่ด้วยกันหกเดือน พ่อบอก ถ้ารักกันจริง กล้าขอแต่งงานไหม
จะไปแต่งฝั่งพ่อแม่เขา ลูกชายเขาบอกพ่อจะแต่งงาน
(เขาพาเราไปหาพ่อเค้า) ลูกชายพูดเสร็จพ่อใช้ข้าวเหนียวปาหน้า
ตัดพ่อตัดลูก ถ้าไม่ได้เราเขาก็ไม่เอาใคร เขาบอก

วิทวัส: จากการที่ได้ทดลองอะไรเล่นๆ ด้วยความซุกซนของผู้ชายสองคน

วิทวัส: เด็กๆ วัยรุ่นจะเตือนอย่างไรถ้าไม่อยากเป็นลักเพศ
เกย์ตุ๊ดแต๋วเขาบอกว่าห้ามลอง

อนันต์: มีส่วน ตั้งแต่เด็ก รักแม่เราจะเอาแม่เป็นตัวอย่าง
เด็กผู้ชายจะเห็นว่า ผู้หญิงมีความสำคัญกว่าผู้ชาย
อยากเป็นแบบเขา เลยทำตัวเป็นผู้หญิง พอมาโดน เขาก็เลยเป็น
มีเพื่อนที่เป็นนักร้อง ทีแรกไม่ได้เป็นเกย์ แต่พอลอง ก็เป็น
เดี๋ยวนี้ ไม่ไปกับผู้หญิง เพราะบางเรื่อง ผู้หญิงไม่เข้าใจ
ผู้ชายเข้าใจมากกว่าเพศที่เป็นผู้หญิง

(อนันต์เล่าเรื่องไปเกณฑ์ทหาร)
อนันต์: ในใจบอก เรามีสามีแล้ว ไม่อาบน้ำร่วมกัน บางทีเราเบี่ยงเบนทางเพศ
ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกัน เขาไม่คิดอะไร เราเบี่ยงเบนทางเพศ
เราเห็น เราคิดกลัวเขารู้ เพื่อนทหารด้วยกันไม่ทราบ เพราะถ้าเขารู้
เขาจะแกล้ง

วิทวัส: ถ้าเป็นเกย์แล้วกลับมาเป็นผู้ชายปกติไม่ได้

อนันต์: ไม่เสมอไป ทุกวันนี้เขา (แฟนเก่า) ยังกลับมาเป็นเกย์
เหมือนเดิม กลับมาเบี่ยงเบนเหมือนเดิม

วิทวัส: (สรุป) การเบี่ยงเบนทางเพศคุณอนันต์เกิดจากการลอง
เพียงครั้งเดียว และชีวิตทุกวันนี้เป็นเกย์100% จากการทดลองครั้งนั้น
เป็นเรื่องจริงอย่าทดลองเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากเป็น

การเบี่ยงเบนทางเพศไม่ใช่เรื่องไม่ดี
แต่ที่แน่ๆ เป็นเรื่องผิดปกติแน่นอน
คุณพ่อคุณแม่ดูให้ดีแล้วกัน

ปิดรายการด้วยการโชว์เพลงของคุณอนันต์ในรูปแบบ
ของจินตหรา พูลลาภ และเป็นไมค์ ภิรมย์พร

(ข้อมูลบันทึกโดย ไซเบอร์ฟิช มีเดีย, http://www.cyberfish-usa.com)

“Gay Romance” นิยายสุดโปรดของแม่บ้านอเมริกัน

พิเศษ

gay romance books

หน้าม่านมายา: “Gay Romance” นิยายสุดโปรดของแม่บ้านอเมริกัน
30 มีนาคม 2010 วิทยา แสงอรุณ

คุณเอ็มมี่ ฟรอส พยาบาลสาวจากฮาวายบอกว่า เธออ่านนิยายแนว Gay Romance ราวๆ 15-20 เล่มต่อเดือน (อะไรจะปานนั้น?)

“เวลาผู้ชายหล่อๆ สองคนถูไถกันไปมา ชั้นว่า มันเซ็กซี่จะตาย” เธอให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร LA Weekly เมื่อเร็วๆ นี้

นิยายแนว “เกย์โรแมนซ์” กำลังกลายเป็นอาหารจานใหม่ของนักอ่านชาวอเมริกันตั้งแต่ผู้หญิงวัยทำงานจนถึงแม่บ้านทั่วไป อายุระหว่าง 31-49 ซึ่งต่างจากตลาดของไทยนะครับ การ์ตูนญี่ปุ่นและนิยายเกย์วัยรุ่นมีนักอ่านที่ชื่นชอบเป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่ หรือไม่ก็เป็นวัยเพิ่งเริ่มต้นทำงาน เพราะตอนเรียนมัธยม พวกเธอก็อ่านการ์ตูนเกย์และนิยายแนวนี้จนติดงอมแงม

จริงๆ แล้ว นิยายแนวเกย์โรแมนซ์ของอเมริกันมีทั้งส่วนต่างและส่วนเหมือนกับเนื้อหาของการ์ตูนเกย์ญี่ปุ่นในแง่เนื้อหาและการนำเสนอ และที่แน่ๆ ก็คือ ทั้งนิยายเกย์โรแมนซ์อเมริกันและการ์ตูนเกย์จากญี่ปุ่นล้วนแล้วแต่มีผู้หญิงอ่านเป็นส่วนใหญ่ และเขียนโดยผู้หญิงเพื่อผู้หญิง โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเกย์มาอ่าน

ก้อเค้าไม่ได้จับตลาดเกย์นี่…

แล้วทำไมตลาดนี้ถึงโตวันโตคืน?

คุณผู้อ่านที่เป็นผู้ชายอ่านบทความนี้แล้วอาจจะงงๆ นะครับ แต่ลองนึกทบทวนดูนิดนึง คุณเคยชมหนังโป๊ที่ผู้หญิงสองคนมีอะไรกันมั่งใช่มั๊ย แล้วคุณรู้สึก “ฮ็อต” เปล่า? น่านแหละครับ นักวิจารณ์ให้ทัศนะว่า ผู้หญิงที่ชอบอ่านนิยาย “Gay Romance” ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายที่ชอบดูหนังโป๊!

แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นไปทั้งหมด ด้วยส่วนหนึ่ง ตลาดนิยายโรแมนซ์มูลค่ามโหฬารของสหรัฐมีผู้หญิงครองแชมป์เป็นผู้อ่านกลุ่มใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว เกินกว่า 90% ของนิยายประเภทนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นิยายแนวเกย์โรแมนซ์จะค่อยๆ เบียดตัว และถีบตัวเองขึ้นเป็นดาวเด่น แถมมาแรง ชวนติดตามซะด้วย

“Publishers Weekly” นิตยสารทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจหนังสืออเมริกัน เคยมีรายงานฉบับหนึ่งออกมาว่า กระแสตอบรับนิยายแนวนี้แรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับ และค่อนข้างจะร้อนขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดก็หลังจากหนังเรื่อง Brokeback Mountain ออกฉาย (2005) และเพิ่งปีที่แล้วนี่เอง ค่ายหนังสือชื่อดังที่ผลิตนิยายแนวโรแมนซ์ชาย-หญิงทั่ว่ไปอยู่แล้วอย่าง Running Press ก็เพิ่งตัดสินใจจับตลาดนี้อย่างจริงๆ จังๆ

แนวทางการตลาดของค่ายนี้ก็น่าสนใจทีเดียวครับ เขาเรียกนิยายแนวนี้ว่า “M/M” ซึ่งจะมีเนื้อหาสนุกสนาน พาฝันและมีความโรแมนติก

ตัวละครชายสองตัวจะมีความแมนด้วยอาชีพการงาน อย่างตำรวจ (มีเกย์แมนๆ เป็นตำรวจอยู่เยอะ) หรือไม่ก็ เป็นอาชีพที่มีความน่าตื่นเต้นแนวผจญภัยอยู่ในตัว เช่น นักสืบ ทนายความ บางแนวทางก็อาศัยจินตนาการสูงส่ง อย่าง “อาชีพแวมไพร์” หรีือเป็นอาชีพกัปตันเรือรบผู้เก่งกล้า แต่แล้วก็กลับมาศิโรราบให้กับนายทหารฝ่ายศัตรู…ซะฉิบ

หนังสือแนวเกย์โรแมนซ์ ไม่ได้เป็นหนังสือแนว “Erotica” ที่เน้นการบรรยายฉากร่วมรักซู่ซ่า อ่านแล้วเหงื่อซึมตามเนื้อตัว แต่จะเน้นฉากรักโรแมนติก แนว “softcore” แต่ก็ไม่หน่อมแน้ม ล่องลอย ไร้การบรรยายอย่างลุ่มลึกที่จะช่วยพาคุณผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงให้ “ร้อนๆ” ตามไปด้วย

ผู้บริหารของ Running Press บอกว่า ตำแหน่งทางการตลาดของนิยายแนวเกย์โรแมนซ์จะอยู่ในกลุ่ม
“นิยายโรแมนซ์” นั่นแหละ และถึงแม้ว่าจะมีฉากรักเร่าร้อนแนว “อีโรติก” ปน แต่ก็ไม่ได้ฮาร์ดคอร์จนเกินไป

นักเขียนหญิงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณแม่ลูกสองเล่าว่า เธอต้องใช้ชื่อผู้ชายในการเขียนหนังสือแนวนี้ เพื่อให้ดูน่าตื่นเต้นสำหรับผู้อ่านและถึงแม้แฟนคลับของเธอรู้ว่า เธอเป็นผู้หญิง ก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร เธอเล่าขำๆ ว่า ตอนที่สำนักพิมพ์หนึ่งรับพิจารณางานของเธอ สำนักพิมพ์แนะว่า น่าจะใส่ฉากร่วมรักอีกซักสี่ฉากนะ ถึงจะพิมพ์ให้

บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่ผู้หญิงหันมาเขียนนิยายแนวชายรักชาย และมีผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงส่วนใหญ่ เป็นภาพสะท้อนของข้อจำกัดตัวตนของการเป็นผู้หญิง เพราะอะไร? เพราะผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้ทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่การที่ผู้หญิงเขียนหนังสือ หรืออ่านหนังสือที่มีตัวละครเป็นผู้ชาย และ “กล้า” ที่จะรักกัน ถือเป็นการปลดปล่อยทางเพศ และทางอารมณ์ของผู้ถูกบังคับชีวิตส่วนหนึ่ง

หากจะมองในแง่เนื้อหาหลักแล้ว เกย์โรแมนซ์ ก็ยังคงความเป็นโรแมนซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการพื้นฐานทางธรรมชาติของผู้อ่านเพศหญิงอยู่ดี โดยเนื้อหาของหลายๆ เรื่องแล้ว จะพบว่า ผู้ชายสองคนจะประสบกับความยากลำบาก ต้องต่อสู้ฟาดฟัน “กว่าเราจะรักกันได้” และเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนจบ ก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ “Happily ever after” ก็เป็นสิ่งที่สมปรารถนาของผู้หญิงเช่นกัน ไม่ต่างอะไรจากโรแมนซ์ชายหญิงนี่นา?

ใช่ครับ แต่การสร้างตัวละครสองตัวเป็นชายทั้งคู่ และตกหลุมรักกันนั้น ถือว่า สร้างความหฤหรรษ์ทางกามารมณ์อย่างหนึ่ง นักวิเคราะห์บางท่านกล่าวว่า เวลาเราอ่านอะไร เราก็นำตัวเราไปแทนที่ตรงนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ผู้หญิงสามารถที่จะ “เข้าถึง” อารมณ์และแรงปรารถนาที่บรรยายอยู่ในหนังสือนั้นเช่นกัน ถึงแม้ตัวละคอนทั้งสองคนนั้น ไม่มีคนหนึ่งคนใดเป็นผู้หญิง หรือแสดงอาการเป็นผู้หญิงเลย

“อารมณ์โรแมนซ์ ในตัวมันเอง เป็นอารมณ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิงอยู่แล้ว” นักทฤษฎีท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็น
และที่น่าสนใจก็คือ การที่ผู้หญิงถูกสอนให้เป็นผู้ตามเสมอ และเป็นผู้ฟังที่ต้องเชื่อฟังเสมอแม้กระทั่งยามอยู่บนเตียง เพราะฉะนั้น สำหรับผู้หญิงหลายๆ คน เวลาได้ดูหนังโป๊ หลายกรณีอาจพบว่า พวกเธอจะคิดไปว่า เป็นผู้หญิง ยังไงๆ ก็คือ “ผู้ถูกกระทำ” หรือเป็นเพียง “เครื่องรองรับอารมณ์” ของผู้ชาย ผู้หญิงมักจะตกเป็น “เบี้ยล่าง” ในความสัมพันธ์กับผู้ชายอยู่เสมอ

จุดนี้เอง อาจช่วยอธิบายได้ว่า การที่ผู้หญิงหลายคนชอบอ่านนิยายแนวเกย์โรแมนซ์ ก็เป็นเพราะพวกเธอไม่รู้สึกโดยลดทอนความเป็นตัวตน หรือริดรอนสิทธ์ และอำนาจ แต่ในทางกลับกัน เธอรู้สึก ตัวเองมี power ขึ้นมาเช่นกัน

ตลาดนิยายเกย์โรแมนซ์ ในประเทศไทยกำลังค่อยๆ ขยายตัวขึ้นนะครับ ถ้าคุณเคยอ่านนิยายที่เขียนให้อ่านกันตามเว็บ ด้วยการจับตัวละครชายที่มีอยู่ในหนัง หรือในหนังสือชื่อดัง มาตกหลุมรักกัน นั่นแหละ โรแมนซ์ดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น
………………………
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men, FM 102 สี่ทุ่ม ทุกวัน อาทิตย์ http://www.facebook/vitayas

มือถือเลิกแอบ

พิเศษ

หน้าม่านมายา: 16 มีนาคม 2010 วิทยา แสงอรุณ

Dbug MenOnly: Dtac Blackberry User Group Men Only

Dbug Workshop by Dtac on March 6, 2010, Campus Room, The Erawan Hotel

เดี๋ยวนี้ ค่ายฮัลโหลออกบริการใหม่ๆ กันเยอะ “ซิมกันแดด” “เจ้าบุญทุ่ม” ฯลฯ ฟังชื่อแล้ว ตัองเลิกคิ้วตาม แต่เท่าที่ปล่อยๆออกมา ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้มี “innovation” อะไรใหม่ๆ หากจะให้ชวนฉงน น่าค้นหายิ่งกว่าแล้วละก้อ ต้องอันนี้เลย

“ซิมเลิกแอบ!”

อะฮ่า! คุณผู้อ่านครับ ใครใส่ซิมนี้เข้าไปปุ๊บ เลิกแอ๊บปั๊บ จะเป็นไปได้มั๊ยเนี่ย? แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ไม่ว่าบริษัทฮัลโหลค่ายไหนคงต้องคิดแล้วคิดอีกว่า จะมีกี่คนกล้าไปซื้อซิมพรรค์นี้มาใช้? เกย์ไทยน่ะขี้อายจะตาย?

น่าแปลกนะครับ ขณะที่ชาวต่างชาติมักมองว่า เมืองไทยเป็นสวรรค์ของเกย์ กะเทย ทอม ดี้ แต่คนกลุ่มนี้มักนิยมเล่นซ่อนแอบมากกว่าจะอยู่ในไฟสว่าง น้อยนักที่จะเห็นอานิสงส์ของการอยู่อย่างไม่กลัว น้อยนักอยากจะเปิดเผยให้รู้ว่า มีฉันอยู่ตรงนี้อีกคน (เปิดเผยในที่นี้หมายถึง ยอมรับและไม่กลัวคนรู้ว่าเป็นเก้งเป็นกวางนะครับ ไม่ใช่ต้องป่าวประกาศ)

พอไม่มีการยอมรับตัวเองและไม่มีการแสดงตัวตนออกมา เหล่ากุมาราเกย์ และกุมารีเลสเบี้ยนก็เลยเป็นประชากร
ที่สังคมมักจะมองไม่ค่อยเห็น เป็นพวกล่องหน ยกเว้นกรณีที่ว่า ถ้าคุณเป็นกะเทย พอคุณแต่งหญิง หรือคุณตัดสินใจแปลงร่าง ผ่าหรือเฉาะตามชอบ คุณก็ไม่มีอะไรต้องแอบอีกต่อไป

ทีนี้ หากสังคมใดมีคนแอบมากๆ เข้า สังคมนั้นก็จะไม่มีวันได้เห็น ไม่เกิดการเรียนรู้ ไม่เกิดการสื่อสารพูดคุยให้เข้าใจกัน พอเกิดปัญหาอะไร ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไง อคติมีอยู่ไปทั่ว เพราะเจ้าตัวไม่รู้จักใช้สิทธิ์ของตัวเอง

ในแง่การตลาดและการบริการ ผู้ให้บริการก็จะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่า ลูกค้าอย่างคุณต้องการอะไร ก้อคุณไม่เคยปรากฏตัวให้เค้ารู้ ก้อคุณไม่เคยเรียกร้องอะไร แต่เมื่อเร็วๆ นี้ บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น

ผมคงต้องขอบคุณเจ้าเครื่อง O2 ที่ใช้มานานจนพังไปคามือ ผมเคยคิดว่าจะไม่ใช้สมาร์ทโฟนอีกแล้ว เพราะไม่เคยใช้คุ้ม แต่แล้วก็อดไม่ได้ พอค่ายดีแทคนำ Blackberry มาขาย ก็ให้กระหายอยากลอง

แล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะใช้ Blackberry เพื่อมา “บีบี” แบบชาวบ้านเค้า ทีนี้ล่ะคุณเอ๊ย อารมณ์อยากลองพุ่งเลยล่ะ ถ้าใครใช้ Blackberry แล้ว ไม่มีคนมาแชทกับคุณ คุณจะเสียดาย แล้วอยากปามันทิ้ง (แต่ก็หลายตังค์อยู่นะ) แต่ผมก็เริ่มสนุกขึ้น วันๆ เอาแต่เสาะแสวงหาญาติมิตร ทั้งท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังมาร่วมแชท จะใช้บีบีให้มันคุ้มไงล่ะคุณ!

เวลาเดือนเศษ ผมควานมาได้ประมาณสามสิบคน (เฉลี่ยวันละคน เชียวนะคุณ นี่ขนาดไม่ตั้งใจ!!) ก็มีมาจากทั้งสามค่ายล่ะครับ แล้ววันหนึ่ง ผมก็คิดอะไรขึ้นมา “ดีแทคเค้าเพิ่งเอา Blackberry มาขาย แต่ตอนนั้น ดูเหมือนเค้าจะตั้งใจขายลูกเดียว ไม่เห็นจะสนใจลูกค้าที่ซื้อไปแล้วว่าจะเป็นยังไง แล้วหากผมเกิดรวบรวมลูกค้า BB ของเค้า แล้วไปขอให้เค้าช่วยจัดเทรนนิ่งการใช้เครื่องให้ล่ะ เค้าจะจัดให้มั๊ย?”

ผมกลับมานับคนในก๊วนที่ใช้ค่ายดีแทค ผมหามาได้ 11 คนเอง ช่างน้อยนิด จะไปขออะไรให้ใครช่วยได้? แต่ผมคิดว่า น่าจะได้ถึงยี่สิบ ถ้าผมขยันกว่านี้ ตอนนั้นแค่คิดน่ะครับ เพราะพอถามเพื่อนฝูงดูทีไร พวกมักก็ตอกย้ำว่า ทำไมไม่ไปรวบรวมไพร่พลคนใช้บีบีของค่ายเจ้าตลาดล่ะ เกย์ที่ใช้บีบีของค่ายเอไอเอสน่ะ เพรียบ หาไม่ยาก”

ก็จริงครับ แต่ผมเชื่ออยู่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ดีแทคเป็นเบอร์สอง เค้าต้อง “Try harder” สิ!

คุณผู้อ่านที่เป็นนักการตลาด เคยคิดมั๊ยว่า หากต้องนับเกย์ที่เป็นคอนซูมเมอร์ หรือลูกค้าของคุณ คุณจะทำได้ยังไง? ผมไม่แน่ใจว่า ผมคิดถูกหรือเปล่า อยากจะเสนอคุณๆ ว่า ลองนับจากจำนวนมือถือดูสิ ผมนี่แหละคนหนึ่งที่อยากจะนับ

แล้ววันหนึ่ง ในงานประจำปียิ่งใหญ่ขายมือถือที่ศูนย์สิริกิติ์ คงเป็นโชคดี ได้เจอผู้บริหารหนุ่มหล่อของค่ายดีแทคที่ดูแล Blackberry พอดีเลย สบจังหวะนั่งลงคุย ผมบอกความประสงค์ท่านว่า ต้องการความช่วยเหลือ เพราะใช้เจ้าบีบี ไม่ค่อยจะเป็น และตอนนี้ผมมีก๊วน สมาชิกไม่เยอะหรอกครับ ดีแทคพอจะช่วยจัดเวิร์คช้อปหรือเทรนนิ่งให้ได้มั๊ย? ค่ายโน้นเค้ายังทำเลย (เน้นหน่อย)

ท่านผู้บริหารฟังแล้ว ก็รับปากในทันที แล้วผมก็บอกว่า “ก๊วนผมชื่อดีบัค (DBUG: Dtac Blackberry User Group for Men Only) น่ะครับ และที่สำคัญสมาชิกทุกคนของผมเป็นเกย์ที่เป็นลูกค้าของคุณมานานแล้ว” ว่าแล้ว ผมก็ควักบีบีพร้อมโชว์โลโก้ก๊วนผมที่หน้าจอให้ท่านดู ก่อนจะลาจาก ขออีกนิด ไหนก็ไหนๆ เลยบอกท่านไปด้วยว่า “ยังไงๆ ถ้าจะจัดให้ ก็ขอเทรนเนอร์หล่อๆ ด้วยนะ”

อีกไม่กี่วันต่อมา (หลังจากใช้กำลังภายในโทรหาคนโน้นคนนี้ให้ช่วย) ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่จากดีแทคว่า “จะจัดสิ่งที่ต้องการให้” คุณผู้อ่านครับ วันนั้น ผมคิดว่า สิ่งที่แชทๆ ไปกับสมาชิกก๊วนผม มันกำลังมีค่ามากกว่าแค่แชทไปวันๆ

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา ดีแทคใจดี…จัดให้ พวกเรา 17 ชีวิต (จากสามาชิก 23 คนแล้ว) ไปพบกันที่โรงแรมเอราวัณ ห้องแคมปัสสุดสบาย ได้นั่งเรียนรู้การใช้บีบีอย่างสนุกสนาน เพลินละสิครับ มีเทรนเนอร์น่ารักอยู่หลายคนนะคุณ

แล้ววันนั้น งานก็จบลงอย่างแฮปปี้ (ผมไม่ได้ค่าโฆษณานะ ขอยืนยัน)

ผมคิดว่า เราทุกคนย่อมมีจุดเริ่มต้น และเมื่อถึงเวลาต้องทำอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่มีคนทำ ก็ขอให้ตั้งใจทำ และสิ่งที่ค่ายมือถือทำครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะต้องมาเอาใจก๊วนเกย์อย่างพวกผม แต่เพราะเราก็เป็นลูกค้าเหมือนกัน เหมือนกับอีกหลายล้านคนที่ได้รับการดูแล ไม่ว่าจะเป็นงานรวมพลคนโสด งานดูหนังวันวาเวนไทน์ ผู้ให้บริการสิต้องหันมาถามว่า เคยให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกๆ กลุ่มหรือยัง?
………………………
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men, FM 102 สี่ทุ่ม ทุกวัน อาทิตย์ http://www.facebook/vitayas

คลิปรายการ “เปลี่ยนประเทศไทย” ตอน ความหลากหลายทางเพศ

พิเศษ

Change Thailand: Vitaya, Mantana, Naiyana, Pynyo

Change Thailand: ความหลากหลายทางเพศ

คลิป รายการเปลี่ยนประเทศไทย ถกประเด็น LGBT
ออกอากาศ 24 ก.พ. 2553
ประเด็น “ความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย”

ผู้ร่วมรายการ:
วิทยา แสงอรุณ (ฺBangkok Radio For Men FM102),
มันทนา อิศยเทพกุล lesla.com,
และนัยนา สุภาพึ่ง ผู้อำนวยการมูลนิธธีรนาถ กาญจนอักษร
(อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน)

Part 1: http://www.youtube.com/watch?v=v8bOdi2drTE
Part 2: http://www.youtube.com/watch?v=zChGJK8GBa0
Part 3: http://www.youtube.com/watch?v=2-cIPNHKrVE
Part 4: http://www.youtube.com/watch?v=9YmqY_1P7PI
Part 5: http://www.youtube.com/watch?v=c942JynHJHE

เมื่อรักสุกงอม เกย์/เลสฯ ก็อยากแต่งงานเหมือนกัน

พิเศษ

Gay marriage

Gay Marriage Battle in California

หน้าม่านมายา 2 มี.ค. 2010 วิทยา แสงอรุณ

เดือนที่แล้ว วันที่ 14 ก.พ. เหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นสองแห่งโดยบังเอิญ

หญิงรักหญิงสองคู่จูงมือกันไปขอแต่งงาน คู่แรกที่ปทุมธานี อีกคู่ที่เชียงใหม่ ทั้งสองคู่โดนปฏิเสธ เหมือนๆ กัน

เจ้าหน้าที่บอกว่า จดทะเบียนให้ไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ คู่ปทุมธานีบ่นรู้สึกผิดหวัง ส่วนคู่เชียงใหม่ชิลๆ บอกว่า รู้อยู่แล้ว ไม่ได้ผิดหวัง แต่อยากรู้ว่า ภาครัฐจะทำอะไรให้มั่งมั๊ย?

คุณผู้อ่านรู้สึกยังไงกับข่าวนี้?

“เรื่องไม่เป็นเรื่อง” “แต่งไปทำไม เดี๋ยวก็หย่ากัน” “อายเค้าน่า” “เพี้ยน พิสดาร” ??!??

การแต่่งงานของคนเพศเดียวกันกำลังเป็นกระแสมาแรงทั่วโลก ทั้งกระแสเชิงสังคม เชิงธุรกิจ และกระแสการเมือง ถ้าดุเด็ดเผ็ดมันที่สุดก็ต้องยกให้ที่เมืองลุงแซมนั่นแหละ

ที่นั่น เกย์และเลสเบี้ยนต่อสู้ฟาดฟันเพื่อให้ได้สิทธิ์รับรองทางกฎหมายมาตลอด ย่ิงในช่วงสองสามปีหลังมานี้ จะสังเกตเห็นได้ว่า เหตุการณ์เข้มข้นขึ้นเป็นลำดับนับตั้งแต่สมัยรัฐบาลบุชออกโรงต่อต้านการแต่งงานและการรับรองสถานะทางกฎหมายของคู่รักเพศเดียวกัน โดยมีกลุ่มศาสนาอย่างมอร์มอนเป็นถุงเงินสำคัญให้เงินไม่อั้น (แต่ถ้าคุณถามหนุ่มๆ มอร์มอนที่ขี่จักรยานไปทั่ว พวกเขาจะปฏิเสธ)

บนพื้นที่สื่อ แคมเปญแย่งชิงเสียงสนับสนุนผ่านสื่อของ “ฝ่ายอยากแต่ง” กับ “ฝ่ายห้ามแต่ง” แรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นซื้อแอดโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์และทางทีวีโจมตีกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ใครว่างๆ ลองคลิกยูทูปดู หาคำว่า gay marriage แล้วนั่งดูแคมเปญโจมตีกัน ไม่แน่ คุณอาจได้ความคิดใหม่ๆ ไปใช้ในงานสร้างสรรค์ที่ออฟฟิศ

ในเชิงธุรกิจ กิจการแต่งงานไม่เพียงแต่ทำให้ Wedding Studio มีรายได้ไหลมาเทมา ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

รัฐบาลแคนาดา และอัังกฤษ รวมถีงอีกหลายประเทศถึงกับลงโฆษณาในนิตรสารและช่องทางสื่อสำหรับเกย์และเลสเบี้ยน ชักชวนให้คู่รักเพศเดียวกันมาแต่งในประเทศตนแล้วฮันนีมูนเสร็จสรรพ ถึงแม้จะไม่มีผลทางกฎหมายในประเทศบ้านเกิดก็เถอะ

หากมีใครไล่เลียงแจกแจงผลประโยชน์ที่คู่แต่งงานได้รับ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้ตีทะเบียน จะพบเรื่องที่ไม่รู้แต่น่ารู้อีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องลดหย่อนภาษี ทั้งเรื่องสุขภาพ และการรับรองการใช้ชีวิตสารพัด

เสียดายยังไม่เคยมีใครแจกแจงเรื่องนี้ในเมืองไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเกย์และเลสเบี้ยนไทย เพิ่งจะเริ่มรู้ว่า ตัวเองก็มีสิทธิ์เหมือนเพื่อนชายหญิงที่จบมาจากโรงเรียนเดียวกัน หรือจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน และตอนนี้ก็ได้แต่งงาน มีลูกไปแล้วหลายคน

การจดทะเบียนสมรสอาจไม่ใช่สิ่งที่ทุกคู่ต้องการ แต่การจดทะเบียนสมรสเป็นสิทธิ์ที่พลเมืองทุกคนควรมี เกย์และเลสเบี้ยนไม่ได้เรียกร้องอะไรที่เหนือกว่า หรือมากกว่า ประชาชนพลเมืองทั่วไป และเมื่อมีสิทธิ์ พวกเขาและเธอก็จะเลือกที่จะจดหรือไม่จด จะอยู่ด้วยกันเฉยๆ เหมือนเดิมก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไร

และผมคิดว่า ไม่จำเป็นต้องเรียกว่า การจดทะเบียนเหมือนคู่ชายหญิง จะเรียกว่าอะไรก็ได้แต่มีผลรับรองทางกฎหมายใกล้เคียงหรือเสมอกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ของรัฐด้วยซ้ำที่จะต้องดูแลและแสดงความรับผิดชอบพลเมืองกลุ่มนี้ที่ถูกละเลยและถูกเลือกปฏิบัติมาโดยตลอด

ตกลงแล้ว การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน หรือเป็นกิจการที่ผู้อื่นจำเป็นต้องคัดค้านด้วย?

ในปีนี้ เราอาจจะได้เห็นการจัดงานแต่งงานหมู่ของคนเพศเดียวกัน ซึ่งน่าจะเป็นการจัดครั้งแรกของประเทศไทย ขณะนี้มีหลายคู่แล้วที่แสดงความจำนงอยากจะเข้าร่วม แชร์ค่าใช้จ่ายกัน และขณะเดียวกัน ก็ให้สังคมได้รับรู้ด้วยว่า คนเพศเดียวกันก็รักกัน และอยากมีครอบครัวที่ได้รับการรับรองจากญาติพี่น้องและผองเพื่อนเหมือนกัน

ถ้าคุณเป็นคู่เพศเดียวกัน และคิดว่า จะอยู่ด้วยกันไปจนตาย หมดความกลัว หมดความกังวลว่า ใครจะคิดยังไงกับความรักของคุณแล้ว คุณน่าจะไปร่วมงานแต่งงานหมู่กับคู่อื่นๆ นะครับ

ลองวาดภาพดู ไม่เพียงคุณและคุณจูงมือกันวิวาห์ และมีเพียงญาติคุณและคุณมางาน แต่มีญาติชาวบ้านอีกนับร้อยมางานของคุณ ผมว่า น่าสนุกและตื่นเต้นกว่าการแต่งหมู่ของคู่ชายหญิงเป็นไหนๆ เพราะคู่ชายหญิงส่วนใหญ่คงไม่ได้ฝ่าฟันดิ้นรน สู้อคติในสังคม เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนกับคุณและคุณ

ถึงแม้ ทางการจะไม่มีอะไรมารับรองทางกฎหมาย แต่ทางสังคม คุณได้แล้ว เต็มๆ

ปีหน้า วันวาเลนไทน์ ผมฝันไปว่า จะไม่มีแค่คู่รักสองคู่ไปที่ปทุมธานีและเชียงใหม่อีกครั้ง และไม่ใช่จะมีแต่คู่หญิงรักหญิง แต่จะมีคู่รักเกย์-เกย์ กะเทย-ผู้ชาย ทอม-กะเทย หรือทอม-ทอม หรือคู่ที่ไม่ใช่ชายและไม่ใช่หญิงที่รู้สึกถึงความรักที่อยู่ตัว มั่นคงในรักและในคู่ของตนหลังดิ้นรนเพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน จูงมือกัน ไปขอจดทะเบียนในทุกจังหวัด

เมื่อคุณแสดงตัวออกมา คนในสังคมถึงจะเห็นคุณ และพวกเขาก็จะรู้ว่า ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องแสนจะธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะแต่งงานเหมือนกัน

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th Facebook: http://www.facebook.com/vitayas อีเมล์ vitayamail@gmail.com

เมื่อเหล่าเกย์ Face-off บน Facebook

พิเศษ

หน้าม่านมายา 16 ก.พ. 2010 วิทยา แสงอรุณ

เฟซบุ๊คไม่เพียงช่วยให้คุณหาเพื่อนนุ่งกางเกงขาสั้น คนที่เคยโดดยางสมัยผูกคอซอง หรือกระทั่งหากิ๊กเก่าสมัยยังเยาว์ได้อย่างง่ายดาย แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นพื้นที่ที่เหล่าเกย์ทั่วโลกใช้ประกาศตัวตนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงคนไทยรุ่นใหม่ที่เป็นเกย์และอายุยังไม่ถึง 30

คุณผู้หญิงที่คิดจะ Add คุณผู้ชายซักคนเพราะเห็นรูปแล้วเกิดปิ๊งกะทันหัน ดูราศีแล้วมีแนวโน้มว่าน่าจะจีบได้ ก็สามารถแตะเบรคนิดนึงก่อนจะกดปุ่มขอ “Add as Friend” ที่อยู่ด้านขวามือของหน้าหล่อๆ นั้น โดย:

ลองสังเกตรูปภาพของบรรดาเพื่อนๆ ที่เขามีอยู่ ดูซิว่า ในจำนวนนั้น มีรูปผู้ชายมากกว่ารูปผู้หญิง?

ในช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะผู้คนเพิ่งจะเริ่มทยอยย้ายบ้านจาก hi5 มาเล่นเฟซบุ๊ค หลายๆ คนเลยยังไม่ค่อยมีเพื่อนเข้ามาเป็นเรือนพันเรือนหมื่นเหมือนตอนเล่นอยู่ใน hi5 กัน จึงไม่น่ายากสำหรับคุณผู้หญิงหากจะลองสังเกตสักนิดว่า เป้าหมายชายคนนั้นมีเพื่อนเพศไหนมากกว่ากัน?

เรียกได้ว่า เป็นการสังเกตแบบปฐมภูมิ

อีกระดับหนึ่ง ใต้รูปภาพโปรไฟล์ของชายหนุ่มเป้าหมาย คุณจะเห็นหัวข้อ “Information” ซึ่งเฟซบุ๊คอนุญาตให้ผู้สมัครเลือกที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวอย่างไรก็ได้ บางคนระบุข้อมูลเพียงสั้นๆ ราวกับไม่มีตัวตนมาก่อนในโลกนี้ และบางคนก็น้อยมากจนคนไม่ขอแอด เพราะไม่รู้จะเริ่มคุยด้วยยังไง (แล้วจะขอแอดไปทำไม?)

และมีอีกหลายคนที่เปิดเผยมาก รวมไปถึงให้ข้อมูลที่ระบุไว้เปรี้ยงๆ ไปเลยว่า ตอนนี้ “ชั้นคบกะใครอยู่” ซึ่งดูได้ตรงที่เขาเขียนว่า Relationship Status: In a Relationship with ..ตามด้วยลิงก์ที่เป็นชื่อของบุคคลอีกคนหนึ่ง ลองดูชื่อซิว่า ชื่อผู้หญิงหรือชื่อผู้ชาย

ไหนๆ ก็ไหนๆ คุณก็ควรจะคลิกลิงก์นั้นซักนิดหนึ่งเพื่อจะดูว่า ใครนะเป็นแฟนกับหนุ่มคนนี้ที่คุณหมายปอง ไม่แน่ …คุณอาจจะได้เจอหน้าแฟนเก่าของคุณ (อันนี้ผมล้อเล่น เพราะคงไม่มีเหตุการณ์บังเอิญขนาดนั้น อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป แต่ถ้าเกิดใช่ คุณก็จะได้รู้ซะทีว่า ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงเลิกกับคุณโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน หรืออยู่ๆ ก็หายไป)

ในส่วน Information นี้ คุณอาจจะคลิกตรงเข้าไปได้เลย โดยดูบรรทัดที่มีลิงค์ใต้ชื่อเจ้าของเฟซบุ๊ค ต้องเรียกได้ว่า จุดนี้เอง ถือเป็นพื้นที่ประกาศตัวตนอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากของคนเป็นเกย์ เพราะหัวข้อย่อยหนึ่งในนั้นคือ “Interested in”

ถ้าเขาระบุว่า “Men” ก็คงไม่ต้องเดาอีกต่อไปว่า เขาชอบเพศเดียวกันหรือต่างเพศ คงไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกนะครับที่ไม่ได้เป็นเกย์ และเลือกที่จะระบุว่า Interested in “Men” แต่ถ้าเค้าระบุว่า Interested in “Men and Women” ก็ไม่ต้องงงนะครับว่าจะเอากันแน่

คนที่ระบุอย่างนี้ ในความเห็นผมนะครับ ไม่มีสถิติใดรองรับ แนวโน้มจะเลือก Interested in “Men” ซะมากกว่า เพราะครั้นจะระบุเพียง “Men” ไม่มี “Women” ก็อาจจะโปร่งใสเกินไป ไหนๆ มชีวิตคลุมเครือตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ของคลุมเครือของฉันต่อไป

สำหรับผมแล้ว อาจจะไม่ถูกทั้งหมดที่ไปเหมารวมเอาว่า ชายผู้ใดที่ระบุว่า Interested in “Men and Women” จะเป็นเกย์ซะหมด เขาผู้นั้นอาจจะเป็น “ไบเซ็กช่วล” คือ รักได้ทั้งสองเพศ แต่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าไม่น้อย เป็นเกย์นั่นเอง แต่พวกเขายังไม่สบายใจที่เปิดเผยให้ใครๆ ได้รับรู้ ก็เป็นสิทธิ์ของเขาเอง

งั้นคุณผู้อ่านที่เป็นผู้หญิง ก็ควรใช้วิจารณญาณในการรับชมและถามตัวเองว่า เวลาเจอใครที่บอกว่า “​Interested in Men and Women” คุณอยากจะจีบมั๊ย เพราะคุณจะมีคู่แข่งในอนาคตเป็นสองเท่าเลยนะ ทันทีที่คุณได้จีบผู้ชายคนนี้

ถ้าสังเกตจากบรรดาเพื่อนๆ ที่เขามีอยู่ในลิสต์ก็แล้ว สังเกตจาก เซคชั่น Information ก็แล้ว ยังไม่มีตัวบ่งชี้ว่า เขาเป็นผู้ชายสายพันธุ์พิเศษหรือเปล่า คุณอาจจะลองดูอีกจุดหนึ่ง ที่เซคชั่น Pages ดูซิว่า เขาเข้าเป็นแฟนคลับของเพจใดบ้าง

ถ้าเป็น Page อย่างเดวิด เบคเคม ก็ยังธรรมดาอยู่ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ถ้า Pages อย่างแดเนียล วู ดาราหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-จีนละสิ เริ่มเข้าเค้า

ในบางประเทศที่ยังคงเกลียดเกย์สุดๆ ก็ใช้เฟซบุ๊คนี่แหละ ตามล่าหาคนเป็นเกย์ บริษัทบางแห่งก็อาศัยเฟซบุ๊คในการสังเกตพฤติกรรมและทัศนคติของลูกจ้าง เพราะฉะนั้น สิทธิส่วนบุคคลหรือความต้องการมี “Privacy” หรือความเป็นส่วนตัว เมื่อพูดถึงโลกออนไลน์แล้ว “ไม่มี” เพราะใครๆ ก็เข้าถึงข้อมูลได้

ว่างๆ คุณลองเสิร์ชชื่อของคุณเองดูในกูเกิ้ลดู คุณอาจจะเจอรหัสนักศึกษาของคุณ และคณะที่สังกัด เผลอๆ คุณจะได้เจอใบเกรดตอนเรียนจบ แล้วมีเอฟติดหราในบางวิชาให้คุณอาจะช้ำใจได้อีกครั้ง

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th Facebook: http://www.facebook.com/vitayas อีเมล์ vitayamail @ gmail.com

นะยะ 2010

พิเศษ

นะยะ 2010 หน้าม่านมายา กรุงเทพธุรกิจ วิทยา แสงอรุณ

ละครเวทีเรื่องดังเมื่อยี่สิบสามปีที่แล้ว “ฉันผู้ชายนะยะ” กำลังกลับมาลงโรงอีกครั้งหนึ่งโดยผู้สร้างและทีมนักแสดงชุดเดิมเกือบทั้งหมด ด้านฝีมือการแสดงชองนักแสดง คงไม่เป็นคำถาม เพราะบัดนี้ แต่ละท่านเข้าขั้นชั้นครูแห่งวงการบันเทิงแล้วทั้งสิ้น

ที่น่าติดตาม ก็คือ คนดูในยุคปัจจุบัน ทั้งที่เป็นเกย์ และเป็นคนดูทั่วไปรู้สึกอย่างไรกับเนื้อหาของละครเรื่องนี้?

“ฉันผู้ชายนะยะ” ดัดแปลงมาจากบทละครอเมริกัน ชื่อ The Boys in the Band ละครนอกวงจรบรอดเวย์ (Off-Broadway) หมายถึง ไม่ได้เล่นในย่านถนนบรอดเวย์ ซึ่งเป็นถิ่นโรงละครดังในนิวยอร์ค แต่เป็นโปรดักชั่นเล็กๆ มีตัวละครเป็นเกย์เป็นหลัก และไม่ได้คาดหวังว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่เกย์จะให้ความสนใจ แต่กลับสร้างความฮือฮา เล่นซ้ำเป็นพันรอบเมื่อ 40 ปีที่แล้ว และต่อมาอีกไม่กี่ปี ก็ทำเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน โดยมีนักแสดงชุดเดิม และเนื้อหาเหมือนเดิมเกือบทั้งหมด

เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนเกย์ที่มาร่วมงานวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่ง โดยมีของขวัญวันเกิดชิ้นหนึ่งเป็น “ผู้ชายขายแรง”เขาเซ็กซี่ หล่อล่ำ แต่ไม่ค่อยมีมันสมอง ขณะที่งานปาร์ตี้วันเกิดดำเนินไปด้วยบทสนทนาโต้ตอบเผ็ดมันจากผองเพื่อน ตัวละครแต่ละตัวเผยชีวิตด้านมืดของตัวเอง เนื้อหาทวีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อเจ้าของงานวันเกิด ท้าทายให้เพื่อนๆ เล่นเกมๆ หนึ่ง ด้วยการยกหูโทรศัพท์ไปหาบอกรักคนที่รัก และพูดความจริงอะไรบางอย่างให้คนอื่นได้รับรู้

The Boys in the Band ไม่ใช่ละครตลกล้อเลียนคนเป็นเกย์ หรือคนที่แตกต่างเพื่อความฮา เอามัน “ไปวันๆ” แต่ตั้งคำถามเรื่องชีวิตของคนเป็นเกย์ และเสียดสี “ตัวเอง” ได้อย่างแสบสันต์ กระชากความรู้สึกเบื้องลึกของคนกลุ่มนี้ และเผยให้เห็นถึงความรู้สึกผิดหวัง ชิงชัง และ “ขมขื่น”

ถ้าคุณติดตามสื่อที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ เกย์ กะเทย ไม่ว่าสื่อบันเทิงในรูปละครหลังข่าว หรือหนังฉายโรง คุณจะพบความแตกต่างในการคิดของคนที่ทำสื่อที่เป็นเกย์และคนทำสื่อที่ไม่ได้เป็นเกย์

อะไรคือความพอดี อะไรคือเสียดสี แต่ไม่ได้ย่ำยี?

ความยากมันอยู่ตรงนี้แหละ

ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ดัดแปลงบทเป็นภาคภาษาไทย และผู้กำกับ และแสดงในเรื่องนี้ด้วย ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ละครเรื่องนี้ ไม่ตกยุคสมัยแน่นอน เพราะเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อละครเรื่องนี้เล่นที่โรงละครของโรงแรมมณเฑียร ต้องเรียกว่า เป็นละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์ และมีความ “ล้ำยุค” กว่าสภาวะแวดล้อมและความเข้าใจของคนในสังคมไทย และเมื่อนำมาเสนออีกครั้งในพ.ศ. นี้ ต้องบอกว่ “ทันยุค” พอดี
ความล้ำยุค หรือทันยุค คงไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ ปัจจัย “เวลา” ของท้องเรื่องว่า นำเสนอเหตุการณ์ สถานการณ์ และรายละเอียดเป็นปัจจุบัน ด้วยค่านิยม ทัศนคติ และความเชื่อของคนในปัจจุบัน หรือนำเสนอเหตุการณ์ ย้อนยุค?

แต่อยู่ที่ “แนวความคิด” ที่แฝงอยู่ในบทสนทนา การแสดงออก และทัศนคติของตัวละคร รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นมุข แก๊กตลก หรือองค์ประกอบฉาก และทั้งหมดนี้ รวมเป็นภาพสะท้อนตัวตน และวิธีคิดของผู้สร้างและผู้ทำบท
เพราะบทละครเรื่องนี้เป็นบทดัดแปลง ไม่จำเป็นต้องเหมือนต้นฉบับทุกกระเบียดนิ้ว

และในปีพ.ศ. 2010 นี้ เชื่อว่า “ฉันผู้ชายนะยะ” คงไม่ใช่ “ฉันผู้ชายนะยะ” เหมือนเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วทั้งหมด เพราะค่านิยม ทัศนคติ และการแสดงออกของเกย์ในยุคนี้ มีแง่มุมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้น่าจะช่วยให้สังคมปรับความเข้าใจเกี่ยวกับคนเป็นเกย์ได้ดีขึ้น และเป็นไปในทิศทางที่ “สร้างสรรค์” มากกว่าจะให้คนดูรู้สึกขมขื่น และตื่นตกใจกับด้านมืดของตัวเอง หรือที่ตัวเองก็เคยทำ

และจะน่าสนใจยิ่งกว่านั้น ก็คือ คนดูที่ไม่ได้เป็นเกย์ น่าจะมีโอกาสเข้าใจชีวิตของคนเป็นเกย์มากขึ้น หันมาตั้งคำถามเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ และการพูดความจริง โดยไม่ต้องมองผ่านแว่นตาแห่ง “ความสงสาร” และ “ความเห็นใจ” คอยตบหลังตบไหล่คนเป็นเกย์ ยามที่พวกเขามีปัญหา แล้วพร่ำบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก เป็นคนดี ก็พอนะ”

“ฉันผู้ชายนะยะ” จะจัดแสดง 16 รอบ เริ่ม 29 มกราคม 2553 แสดงทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ณ โรงละครอักษรา คิงพาวเวอร์ (ซ. รางน้ำ) นำแสดงโดย “ชลิต เฟิ่องอารมณ์ , มารุต สาโรวาท , วสันต์ อุตตมะโยธิน, เดย์ ฟรีแมน, สมชาย เข็มกลัด, ธิตินันท์ สุวรรณศักดิ์ , และ อาชัญ ชัยสุวรรณ เขียนบท, กำกับการแสดง และร่วมแสดง โดย “ดร.เสรี วงษ์มณฑา” รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับ “โครงการคืนชีวิตให้พ่อแม่เพื่อลูกน้อยที่ปลอดเอดส์” สภากาชาดไทย ในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์-เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ บัตรที่ไทย ทิกเก็ต เมเจอร์ 02-2623456 http://www.thaiticketmajor.com ราคา 2,000 / 1,500 / 1,200 / 1,000 / 800 และ 500 บาท
………………………
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men, FM 102 สี่ทุ่ม ทุกวันอาทิตย์ http://www.facebook/vitayas หรือที่ wordpress: https://vitayas.wordpress.com email: vitayamail แอ้ด gmail.com

สวัสดีครับขอความเห็นนิดนึง

พิเศษ

เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และผู้อ่านที่รักครับ

ขอบคุณที่ติดตามกันมาโดยตลอด
อัพช้ามั่ง หายหัวมั่ง ตอบช้ามั่ง
แต่ไม่มีใครโกรธเลย
รู้สึกดีจริงๆ ครับ

ตอนนี้กำลังคิดว่า จะทำยังไงให้ชีวิตตัวเอง
ดีขึ้น ทำงานมากขึ้น ในเวลาที่น้อยลง

เลยคิดว่าจะนำ blog นี้ไปรวมอยู่ใน facebook
เพื่อการอัพเดทที่เร็ว จะต่อเนื่องกว่านี้น่ะครับ
อยากทราบความเห็นว่า คิดยังไงกัน
เท่าที่ลองใช้ๆ ดู ก็มี pages ที่มี discussion
ิboard ที่ดี ทุกๆ คนก็ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้
ดีกว่าจะคุยกะกระผมเพียงคนเดียว อยากให้สังคมเล็กๆ นี้
มีคนที่สนใจข่าวสารและแลกเปลี่ยนกันแบบนี้ต่อไปครับ

facebook: http://www.facebook.com/vitayas

ฝากความเห็นไว้ได้ หรือจะส่งเมลมาก็ได้นะ
vitayamail@gmail.com

รักคนอ่าน
วิทยา แสงอรุณ