“MILK” หนังเยี่ยม ลดอคติทางเพศในสังคม

Hiding No More เลิกแอบเสียที วิทยา แสงอรุณ 28 ก.พ. 2009 MetroLife Section หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ วันเสาร์

harvey-milk-pic

นับเป็นช่วงเวลาที่ “เหมาะมาก” ที่ค่าย M Pictures ได้ลงโปรแกรมหนังเรื่องนี้ในบ้านเรา หลังจากงานพาเหรดเกย์ที่เชียงใหม่เมื่อวันเสาร์ที่ 21 ก.พ. ต้องล่มไป เพราะ “กลุ่มคนเสื้อแดง” บุกล้อมสถานที่จัดงาน ขู่เข็ญ และกักขังคนไว้ข้างใน แถมยังเรียกร้องให้ผู้จัดงานออกมา “ขอโทษ”

ใครที่ได้ติดตามข่าวนี้คงต้องงงไปตามๆ กัน อยู่ๆ คนเสื้่อแดงมาเกี่ยวอะไกับงานเกย์? แล้วอยู่ๆ มาบอกให้ขอโทษ “เรื่องอะไร”?

ก่อนหน้านี้นายนที ธีระโรจนพงษ์ ประธานกลุ่มเกย์การเมืองไทยออกโรงมาคัดค้านสุดลิ่มทิ่มประตู หลังจาก “เพิ่ง” ได้ยินจากคู่สนทนาในรายการทอล์คโชว์ดัง (จับเข่าคุย) ที่พูดถึงว่า ที่เชียงใหม่ จะมีการจัดงานเกย์พาเหรด พอได้ยินดังนั้น ท่านก็ยืนยันหัวชนฝาว่า จะไม่ให้มีงานนี้เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ตอนออกอากาศรายการนั้นอยู่ ยังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับงานนี้ ซักอย่าง

จะเป็นด้วยอารมณ์พาไป หรือพลั้งปากพูดไป ก็แล้วแต่ ต่อมาท่านก็วิ่งไปยื่นหนังสือประท้วง ประท้วง ประท้วง

การออกอาการคัดค้านงานดังกล่าวในรายการทีวีทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบที่มาที่ไปของการจัดงาน กลายเป็นเรื่องน่ากังขาในหมู่คนทำงานเรื่องเพศและสิทธิ์ว่า นายนทีกำลังทำอะไร?

แต่ที่ใครๆ เดาๆ กันพากันเห็นสอดคล้องไปว่า นั่นคืออีกงานหนึ่งที่คนๆ หนึ่งสามารถจับความ “เปราะบาง” ในสังคมไทยบ้านเรามาใช้อย่างได้ผล นอกเหนือจากยกประเด็นเรื่องสุขภาพเยาวชน พุทธศานา และเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น ฯลฯ มาก่อนหน้า

ผมคิดว่า ความตั้งใจใดๆ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าให้ความตั้งใจแฝงไว้ด้วยอคติ

คุณผู้อ่านทั่วไปอาจจะคิดว่า ข่าวคราวความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเกย์ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องโหนกระแส สร้างกระแส และตามกระแส หรืออาจเป็นเรื่องผิดใจกันในหมู่เกย์ หรือเป็นเรื่องที่ “ไม่เกี่ยวกับชั้น”

ก็คิดกันไปได้นะครับ ส่วนผมเอง คิดว่า เรื่องที่ตกเป็นข่าวนั้น รวมถึบวิธีการนำเสนอประเด็น รูปแบบการแสดงออก และคัดค้านต่างๆ กำลังปลุกกระแส “เกลียดเกย์” ขึ้นในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง และน่าเป็นห่วง ทั้งๆ ที่ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่เคยปรากฏชัดเจนในบ้านเรา แต่ต่อไปนี้ มันจะกลายเป็นปัญหาหนึ่งที่ต้องจับตามอง

ในอเมริกา ความรู้สึกเกลียดชังต่อความแตกต่างมีความรุนแรงมาก เพราะสังคมอเมริกันมีคนหลายเชื่้อชาติ ศาสนา สีผิว ภาษา อพยพมาอยู่ร่วมกัน มีความรังเกียจกัน ดูถูกกัน และทำร้ายกัน

main_milk

จากประวัติศาสตร์เรื่องมาถึงปัจจุบัน เกย์ เลสเบี้ยน หรือจะเรียกรวมๆ ว่า LGBT นะครับ (lesbian gay bisexual transgender) ก็เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มักตกเป็นเหยื่อความเกลียดชังเสมอ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นในหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจน

ผมเชื่อว่า ใครที่ไปดูหนังเรื่อง MILK แล้ว จะเข้าใจมากขึ้นว่า ทำไมเกย์ต้องออกมาเดินพาเหรด ทำไมเกย์ต้องแห่แหนไปตามท้องถนน ทำไมต้องแต่งตัวบ้าๆ บอๆ (ในสายตาคนทั่วไป) ทำไมต้องทำตัวหลุดโลก ทำไมต้องประท้วง ทำไมเกย์ต้องกลายเป็น “พวกเรื่องมาก” สร้าง “ความวุ่นวาย” เรียกร้องสิทธิโน่นนี่นั่น ไม่มีที่สิ้นสุด?

คุณจะไม่แปลกใจเลยถ้าไปดูหนังเรื่อง “MILK” แล้วคุณจะได้คำตอบทั้งหมด

ลองคิดดู คุณเดินเล่นกับแฟนอยู่ดีๆ ก็มีคนโผล่มา เอามีดมาแทง แทง แทง ไม่รู้กี่สิบแผล ตำรวจไม่ช่วยอะไร กลับสมน้ำหน้าและสะใจ เหล่าเกย์เลยต้องพกนกหวีดห้อยคอไว้ เวลาออกไปไหนข้างนอก คว้ามาเป่า เรียกให้คนช่วยเพราะถูกทำร้าย

ลองคิดดู คุณเป็นครู เป็นอาจารย์อยู่ดีๆ ก็มีนักการเมือง (จอห์น บริกซ์ และแอนนิต้า ไบรอันท์) ออกมาป่าวประกาศว่า ต่อไปนี้ ต้องไล่ครูที่เป็นเกย์ และเป็นเลสเบี้ยนออกไปให้หมด ไม่ต้องให้สวัสดิการบ้านพัก ไม่ต้องให้มีงานทำ ใครที่ไม่ได้เป็นเกย์แต่เป็นข้าราชการ แล้วไปสนับสนุนเกย์ และเลสเบี้ยน ก็ต้องไล่ออกไปด้วย ครูที่เป็นเกย์และเลสเบี้ยนเหล่านี้ชอบล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และที่สำคัญจะทำให้ลูกศิษย์กลายเป็นเกย์ เลสเบี้ยนกันไปหมด

สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็น “ข้ออ้าง” ที่ไม่ใช่ “ข้อเท็จจริง” ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ “กระแส” ต่อต้าน ที่กำลังปลุกมวลชนอยู่ในขณะนี้

การที่อ้างว่า เมื่อเยาวชนไปเห็นขบวนพาเหรดที่มีสาวประเภทสองแต่งตัวสวยงามออกมาเดิน (แม้กระทั่งแต่งกายในชุดล้านนา) เยาวชนจะคิดว่า สวย “เลยอยากเป็นเกะเทย”

การที่มีงานประกวดสาวประเภทสอง เห็นการแต่งตัว ประกวดประชันกัน จะทำให้เยาวชน อยากเป็นกะเทย และจะทำให้มีกะเทยเพิ่มขึ้น เยาวชนจะเลียนแบบ (ส่วนประเด็นเรื่องอายุของคนเข้าประกวด เป็นอีกประเด็นหนึ่ง และผมคิดว่า เป็นประเด็นปลีกย่อย)

milkfirstlook-ew

ความเคลื่อนไหวปั่นกระแสเหล่านี้เอง ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่นักการเมืองอเมริกันสองคนนั่นทำในยุค 30 ปีที่แล้ว พวกเขาเรียกร้องสร้างกระแสทางการเมืองให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ตกใจ หวาดผวา ขวัญหนี เกลียดชัง แล้วเรียกคะแนนเสียงจากคนเหล่านั้นมาเข้าข้างตัว

แต่สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ในไทยกว่าที่เกิดในอเมริกาก็คือ คนที่สร้างความรู้สึกเกลียดชังแบบนี้ เป็นเกย์เอง

แต่ในเรื่องร้ายๆ ก็ย่อมมีสิ่งดีๆ เช่นกัน สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์พาเหรดเกย์ล่มที่เชียงใหม่ เพราะถูกประท้วงจากกลุ่มคนเสื้อแดง และเกย์ด้วยกันเอง คือตัวจุดชนวนให้เกิดการต่อสู้ในรูปแบบใหม่ เพื่อให้สังคมนี้ตื่นขึ้นมาเรียนรู้การเคารพสิทธิ์ของกันและกัน และเรียนรู้ว่า ความเกลียดชัง ไม่ใช่เรื่องแพ้ ชนะ แต่เป็นเรื่องที่บ่งชี้ความเป็นมนุษย์ในตัวของคุณเอง

แชะ! แชะ! ดีใจด้วยกับคุณฌอน เพนน์ที่รับบทฮาร์วีย์ มิลค์ได้ยอดเยี่ยมจนคว้ารางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมในออสการ์ที่่ผ่านมา เป็นตัวที่สองแล้วที่เขาได้ ใครจะเชื่อว่าแบดบอย มาดแมนสุดกวน สามีเก่าของมาดอนน่าอย่างเขา จะเข้าใจเกย์ขนาดนี้ ในคำกล่าวหลังรับรางวัล เขายังพูดสนับสนุนให้รัฐแคลิฟอร์เนียสนับสนุนกฎหมายคนรักเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ ปลื้มๆ แชะ! แชะ! ดังแรงยิ่งขึ้นๆ ไปก็ต้องคุณเจมส์ ฟรังโก้ หรือฉายาใหม่ เจมส์ ดีนในเรื่อง MILK เขาเล่นได้ดีมาก ถ้าใครซักคนมีแฟนที่คอยให้กำลังใจ และเป็นห่วงเป็นใย เข้าใจเสมออย่างเขา แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน คงเป็นสิ่งที่น่าพอใจที่สุดในชีวิตนี้แล้ว แชะ! แชะ!

img_8841a

แล้วเรา…จะพบกันอีก

“เลิกแอบเสียที Hiding No More” สัปดาห์นี้ใน Metro Lifeเป็นคอลัมน์สุดท้ายแล้วนะครับ เมื่อห้าปีที่แล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 คอลัมน์นี้ถือกำเนิดขึ้นอย่างฮือฮาพร้อมๆ กับ Metro Life และใช้ชีวิตยืนยาวคู่กับ Metro Life มาจวบจนวันสุดท้ายนี้

ผมอยากจะกราบขอบพระคุณ คุณขุนทอง เลอเสรีวาณิชที่ให้โอกาส คุณต่อพงษ์​ เศวตามร์ ที่เขียนประโยคที่ไม่มีวันลืมเลือน “เกย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม” และคุณนรวัชร์ พันธุ์บุญเกิด ที่ใจเย็น รอคอย และสนับสนุนสุดแรง คุณน้องๆ กองเลขาฯ และทีมงานบรรณาธิการของ Metro Life ทุกยุคที่ช่วยทำให้คอลัมน์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Metro Life อย่างแนบแน่น เป็นกันเอง และสนุกสนาน

สิ่งที่ผมรู้สึกมีความสุขและปิติมากเสมอก็คือ ผมมีอิสระที่จะเขียนเรื่องอะไรก็ได้ในพื้นที่แห่งนี้ และสิ่งที่ผมเขียน มีคนเอาไปใช้ประโยชน์กระทั่งหลายคน “เลิกแอบ” แล้ว ขอบคุณคุณผู้อ่านทุกๆ ท่าน ผมรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เขียนและได้ทำตลอดห้าปีที่ผ่านมา

ติดตามข่าวคราว และทักทายกันได้ที่ http://www.vitayas.wordpress.com หรืออีเมลมาคุยกันที่ vitayamail@gmail.com

บทส่งท้ายนี้ ไม่ใช่คำอำลา แล้วเราจะพบกันอีก…
วิทยา แสงอรุณ

23 thoughts on ““MILK” หนังเยี่ยม ลดอคติทางเพศในสังคม

  1. อ้าว ทำไมคุณวิทยาเลิกเขียนใน Metro Life ซะแล้วอ่ะครับ
    ผมไม่ได้อ่าน Metro Life นะ เพราะ ผู้จัดการเสาร์-อาทิตย์ที่ส่งมา ตจว.จะไม่แถม section นี้
    แต่ก็คิดว่า การมีอยู่ของคอลัมน์นี้ มันทำให้ Metro Life ดูเป็น Metro ดี

    เมื่อคืนเพิ่งดู Milk
    ขณะที่ดูอยู่ ก็คิดแบบเดียวกัน ว่า ทำไม เกย์ที่เสนอตัวเองว่าเป็นตัวแทน”เกย์การเมือง”ถึงออกมารณรงค์ในเรื่องที่ตรงกันข้ามกับ สิทธิเสรีภาพของมนุษย์
    ตลกว่ะ

    ผมคิดว่า หลังจากนี้ไป คงไม่มีใครที่ไหนฟังเขาอีกต่อไป
    กำลังนึกเล่นๆด้วยซํ้า ว่า เขาจะมีหน้าเสนอตัวเองออกมาทำหน้าที่ตัวแทนเกย์อีกรึเปล่า ?
    คนเราจะชั่ว จะดี อยู่ที่เจตนา และการกระทำของตัวเองโดยแท้

    อย่างไรก็ตาม Milk เป็นหนังดีครับ
    Sean Penn และโดยแฉพาะ James Franco เล่นได้ดีมาก (เขาน่าจะได้รับเสนอชื่อตัวประกอบยอดเยี่ยมด้วยนะ )
    มีประโยคคมๆอยู่ในหนังเพียบส์
    เนื้อหาหนัก กินใจ ให้แรงบันดาลใจ
    ที่สำคัญ ภาพสวยเหลือเกิน
    ให้บรรยากาศของ Castro Street สมัยโน้นได้อย่างงดงาม

  2. แด่ Harvey Milk

    His Life Change History
    His Courage Change Lifes

    ผมดูแล้วเข้าใจคำว่า Gay Right มากขึ้นทีเดียว
    เข้าใจมากขึ้นว่า ทำไมถึงต้องมี Gay Right

    Milk ไม่ได้ทำเพื่อตนเองให้ได้เป็นนักการเมืองเหมือนกับเกย์ไทยบางคนที่ตอกย้ำ Gay Hate Crime ให้กับสังคมไทย

    Milk ไม่ได้เป็นมนุษย์ที่มีพลังพิเศษเหนือคนอื่นๆ

    Milk เป็นมนุยษ์ผู้ชายที่เป็นเกย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ที่ต่อสู้กับอคติ ความเกลียดชัง ความคับแคบในใจของผู้คนบางกลุ่มในสังคม

    Milk มอบความกล้าให้กับเกย์อีกหลายคน และมอบผลงานแห่งการต่อสู้นั้นให้กับเกย์รุ่นลูกรุ่นหลานหลายๆคนที่จะเติบโตมาบนโลกใบนี้
    และขอขอบคุณ Gus Van SanT ที่สร้างเรื่องนี้ขึ้นมาให้คนบนโลกสีน้ำเงินนี้รับรู้ถึง Milk

    แต่…………………

    อคติ ความเกลียดชังในใจผู้คน ยังคงวนเวียนไม่หายไปจากโลกนี้ง่ายๆ
    ผมอยากให้ทุกคนได้ดูคลิปวีดีโอ 2 คลิปนี้ แล้วไปดู Milk แล้วคุณจะเข้าใจมากขึ้น

    เมืองไทยอาจจะไม่ได้ดูเลวร้ายเหมือนกับที่ต่างประเทศ แต่ใช่ว่าไม่มีเพียงแต่เรายังทำตัวไม่รู้ไม่เห็น จนบางครั้งมันดูกลมกลืนไปกับชีวิตเราแล้ว หรือเพียงเพราะว่า มันยังไม่เกินขึ้นกับตัวเอง

  3. Metrolife เลิกทำแล้วหรือครับ หรือพี่วิทย์ไม่เขียนเอง
    ???

    แต่บล๊อกยังอัพเดตให้น้องๆอ่านหรือป่าวครับ …

    ไม่มีีนี่มีเคืองจริงนะ

  4. เสียดายแทนคนที่ตามอ่านคอลัมน์นี้ในMetro Lifeคับ สำหรับเพื่อนๆที่เข้าถึงเวปไซด์นี้ก็ตามอ่านกันไม่เลิกราอยู่แล้ว ยังไงซะเราต้องได้พบกันอีกแน่ๆคับ ผมคนนึงหละขอผูกปิ่นโตเป็นแฟนประจำพี่ยอดไปตลอด

    สู้ต่อไปนะคับ ยอดมนุษย์

  5. รู้สึกใจหายที่เห็นคำว่า .สุดท้าย….. ในคอลัมน์ของพี่ที่ติดตามมาตลอด
    ไม่ว่าจะยุติลงด้วยเหตุผมใด ขอเป็นกำลังใจครับ…..

  6. เป็นบทความสุดท้ายใน metro life

    โดยเลือกเขียนเรื่อง “ทิ้งทวน” ได้ดีมากครับ

    ………

    ผมเองรู้สึกผิดหวังกะนายนทีเหมือนกัน กับเหตุการณ์นี้

    ย้อนกลับไปคิดถึง เวลาแกพูดถึงกะเทยในครั้งก่อน ๆ

    ที่เคยเสวนาในรายการต่าง ๆ

    แล้วนำมาประกอบเข้ากับเหตุการณ์ “พาเหรดล่ม” ครั้งนี้

    ผมเลยเข้าใจแล้วว่า คุณนที ยังมี homophobia อยู่ในศีรษะ !!

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็น ประเภท TRANSPHOBIA

    คือ โรคเกลียดกะเทย ครับ

  7. มา ment อีกรอบ…

    ผมว่า ฌอนเพนน์ ดาราชายกวนโอ๊ยมาดเเมน ที่มีจิตสำนึกทางสังคม

    ค่อนข้างสูงนะ

    จำได้ว่าก่อนหน้านี้ เขาเคยเขียนบทความ อะไรสักอย่าง
    ที่เกี่ยวกับ ต่อต้านรัฐบาล George Bush ในช่วงที่ผ่านมา
    (หรือบทความอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับ ส.ว.ล. จำไม่ได้แล้ว)

    แล้วตะแก ถึงกับ ลงทุน จ่ายเงินให้ นสพ. ฉบับดังในอเมริกา
    เพื่อลงบทความตัวเอง ใน น.ส.พ. เล่มดังกล่าว

    เพื่อหวังปลุกจิตสำนึกของชาวอเมริกัน เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเอง
    กำลังให้ความสนใจ

    …………..

    จริง ๆ แล้ว ผู้ชายบุคลิกอย่าง ฌอนเพนน์ น่าจะเป็นคนเกลียดเกย์ นะ ผมว่า …
    แต่กลับกลายเป็นว่าเขา สนับสนุนเกย์ ซะนี่

    อย่างงี้น่าจะเรียกว่า ผู้ชายเควียร์ ๆ : คือผู้ชายทำตัวแปลก ๆ และมีลักษณะเด่นกว่าผู้ชายทั่วไป

    …………………….
    ……………………

    ถามคุณวิทย์หน่อยครับ ภาพสุดท้าย ที่เป็นคนกำลังชักธงสีรุ้ง

    ตึกที่เห็นนั่นเป็น “ทำเนียบขาว” รึป่าวครับ

    แล้วชักธงสีรุ้งเนื่องในโอกาสอะไรครับ

    ดูบรรยากาศแล้วมันน่าจะคึกครึ้นดีนะครับ

    รูปแบบนี้

  8. คุณซีอุย ค่ะ

    “ผมคนนึงหละขอผูกปิ่นโตเป็นแฟนประจำพี่ยอดไปตลอด”

    คำว่า ผูกปิ่นโต ของคุณ ดิฉันเห็นเขาใช้กันในบอร์ดลงอ่างนะคะ
    (กรรี๊ดส์ สาวอิสานรอรักอ่านบอร์ดลงอ่างหมอนวด…)

    เช่น ผมไปผูกปิ่นกับสาวที่โพเซดอน แล้ว
    เช่น เดือนนี้ผูกปิ่นโตกับน้องหนิงสาวพานิชย์เธอบริการดีจจริง ทั้งก้นทั้งนมโดนใจผมมาก

    เป็นอาทิ

    คุณซีอ้ยชอบลงอ่างหรือค่ะ

    คุณวิทยา อย่าเลิกเขียนนะคะ แล้วดิฉันจะไปเพ้อเจ้อที่ไหนละค่ะ
    เอ หรือว่าคุณวิทยาจะเปลี่ยนไปเชียนคอลัม GaysexMetrolife อัพดีกรี ขึ้นไปอีก… สงสัย

    เจ้านางนที นั่นก็ตัวดี ออกทีวี ก็พูดจาเลอะเทอะ ดูไม่น่าให้ความเคารพเลย เหมือนป้ากะเทยแก่ที่ไม่มีผมแรดๆ มากกว่า จะเป็นเกย์การเมือง

    แม้แต่เกย์ก็ยังเกลียดเกย์ด้วยกัน… คิดดูเถิดคุณ

    หรือว่าคุณนทีอยากดัง หาเงินทำผมหรือเปล่าค่ะ…

    กรีดดดดดดดดดดดด ส์ สาวอิสานรอรัก เล่นแรง…
    อย่าให้ดิฉันเขียนบทวิจารย์คุณนทีนะคะ ระวังจุกอกดาย

    /me ชงกาแฟรอบดึกดีกว่า

  9. เพิ่งไปดู Milk มาเมื่อเย็นที่สกาล่าครับ
    น้ำตาไหลอยู่เนืองๆ ประทับใจแบบบอกไม่่ถูก
    ทั้งรสชาติและมุมมองที่แยบคาย
    อยากเอาหนังเรื่องนี้ไปฉายฟรีๆ ให้คนอื่นๆได้ดู
    เผื่อจะเข้าใจเกย์มากขึ้น

    ชอบหลายๆ ฉากเป็นพิเศษ ทั้งน้องขาพิการที่โทรมาหาว่าจะฆ่าตัวตาย
    ฉากดีเบทกับนักการเมืองโง่ๆ แล้วอวดฉลาดหรือนักการเมืองรอบจัด
    ฉากที่ดูโอเปร่าแล้วโทรไปหาสก็อต
    ฉากที่คลีฟกลับมาจากสเปน
    ฯลฯ

    ดูจบแล้ว
    ได้แต่หวังว่าเมืองไทยคงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอย่างในเรื่อง
    แม้ว่าคนไทยจะอดทนกับเกย์ได้ แต่ไม่ถึงกับยอมรับ
    แต่ก็ขอให้ค่อยๆ ทำความเข้าใจกันไป
    ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ เสียชีวิต
    เพราะสุดท้ายแล้ว ก็จะมีแต่คนเสียใจ
    ไมมีใครได้อะไรจากการใช้กำลัง
    นอกจากน้ำตา…

  10. แด่ Harvey Milk ผู้ชายที่ไม่ได้ฉาวโลก

    หลายคนคงจะสงสัยว่าคือใครกัน หากไม่ใช่นักดูหนังหรือติดตามความเคลื่อนไหวในแวดวงภาพยนตร์โดยเฉพาะหนังที่ได้รับรางวัลออสการ์ ก็คงจะไม่รู้จัก Harvey Milk

    Harvey Milk ก็คือ ตัวละครหลักในเรื่อง Milk ที่มีชื่อไทยกำกับไว้ว่า “ผู้ชายฉาวโลก” ที่แสดงโดยฌอน เพนน์ อดีตสามีของคุณป้ามาดอนน่านั่นล่ะครับ

    ทำไมต้องต้องเป็น “ผู้ชายฉาวโลก” ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

    Harvey Milk เป็นนักกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษย์ชนให้กับอเมริกันชนบางกลุ่มที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสังคมไม่ว่าจะเป็นการร่วมเรียกร้องกับสหภาพแรงงานในซานฟานซิสโก เรียกร้องไม่ให้รัฐตัดงบประมาณดูแลผู้สูงอายุ การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของคนเอเชียที่เป็นอเมริกันชน และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กับเกย์ (GAY RIGHT) โดยเฉพาะเมื่อมีนักการเมืองบางคนในยุคนั้นบอกว่า ต้องไล่ครูที่เป็นเกย์ และเป็นเลสเบี้ยนออกไปให้หมด ไม่ต้องให้สวัสดิการบ้านพัก ไม่ต้องให้มีงานทำ ใครที่ไม่ได้เป็นเกย์แต่เป็นข้าราชการ แล้วไปสนับสนุนเกย์ และเลสเบี้ยน ก็ต้องไล่ออกไปด้วย

    หากใครอยากดูหนังเรื่องนี้ แนะนำให้ไปดูก่อนนะครับ อย่าเพิ่งอ่านสิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้ เดี๋ยวจะดูหนังไม่สนุก เดี๋ยวจะหาว่ามาเปิดเผยเนื้อเรื่องจนไม่อยากดูล่ะ ไปอุดหนุนกันหน่อยนะครับนานๆจะมีหนังเกี่ยวกับเกย์ดีๆ ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ตัวตลก หรือช้ำรักจนต้องฆ่าตัวตาย เห็นว่ามีฉายจำกัดโรง ลองเช็คก่อนไปนะครับ แต่หากไม่คิดไรมากก็ลองอ่านดูได้ครับไม่ว่ากัน

    ในชีวิตของเราแต่ละคนจะมีสักกี่ครั้งที่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง จะมีสักกี่ครั้งที่ตื่นนอนตอนเช้าแล้วพบว่าชีวิตตัวเองทำไมถึงวนเวียนอยู่แค่นี้ เช้าตื่นนอน แล้วออกไปทำงาน เที่ยงก็ออกจากที่ทำงานไปหามื้อเที่ยงเพื่อจะได้มีพลังงานทำงานช่วงบ่ายต่อ เย็นกลับมาดูหนัง ออกกำลังกายบ้าง เล่นอินเตอร์เน็ตบ้าง ดึกๆเข้านอน ชีวิตของนักขายประกันอย่าง Milk ตลอดระยะเวลา 40 ปีคงเป็นคล้ายๆอะไรแบบนี้ ใช้ชีวิตที่ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ต้องปกปิดสิ่งที่ตัวเองเป็นตลอดเวลา

    แม้ว่าหนังจะเปิดตัว Scott Smith แฟนของ Milk ว่าเจอกันง่ายๆแล้วก็ไปลงเอยกันบนเตียงนอน ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลายคนที่ดูคงคิดว่า Milk เป็นเกย์ใจง่ายจริงๆ เหมือนกับที่สังคมและคนที่เป็นเกย์พยายามบอกกันเองตลอดเวลาว่า เกย์เป็นพวกรักง่าย เบื่อง่าย และเลิกง่าย ผมว่าเรื่องแบบนี้อยู่ที่กมลอนุสัยหรือแถวบ้านเรียกว่าสันดานมากกว่าไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นเกย์หรือไม่ และที่เห็นๆกันอยู่ ชายหญิงทั่วไปๆก็ รักง่าย เบื่อง่าย และเลิกง่ายเหมือนกันหมดล่ะ

    P.S. สันดาน เป็นคำกลาง ไม่ใช่คำหยาบ เรื่องนี้อาจารย์สอนภาษาไทยม.ต้นบอกมา เพราะโดนด่าประจำ – -“

    ในมุมนี้ผมกลับมองว่า Milk น่าจะรู้จักและคบกับแฟนคนนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ลองนึกดูนะครับในยุค1970 ที่เรื่องเกี่ยวกับการรักเพศเดียวกันยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม ผู้ชายสองคนที่เจอกันบนท้องถนน พูดคุยกันแล้วชวนกันไปนอนเล่นบนเตียง มันคงแปลกและผู้ชายคนนั้นอาจจะแจ้งความได้ว่าถูกเกย์ลวนลาม จะซวยซับซ้อนเข้าไปอีก
    จนเมื่อยุคดอกไม้บ้านแนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพสันติภาพที่ขจรขยายไปทั่วอเมริกา Scott Smith กับ Milk ไว้ผมและเครายาวตามยุคสมัยและย้ายกันไปอยู่ที่ซานฟานซิสโกด้วยเงินเก็บของพวกเขา Milk เปิดเลือกเปิดร้านขายกล้องและฟิมล์ถ่ายรูปบนถนนคาสโตร ด้วยความที่ Milk เป็นคนเคยอยู่ในแวดวงประกันคงมีความรู้และชั้นเชิงทางธุรกิจมาบ้าง เขาตัดสินใจที่จะหาพันธมิตรคู่ค้า โดยถามเจ้าของร้านแถวนั้นว่าหากเขาต้องการร่วมเป็นสมาคมพ่อค้าจะติดต่อได้ที่ไหน แต่เมื่อชายเจ้าของร้านถามว่าพวกเขาเป็นเกย์ใช่ใหม Milk ไม่ได้ลังเลที่จะตอบว่าใช่ แต่คำตอบที่ Milk ได้ยินหลังจากนั้นคงทำให้รู้สึกว่า ธุรกิจนี้ของเขาคงไม่ง่ายซะแล้ว ลองคิดดูนะครับ หากคุณกำลังจะทำธุรกิจแล้วคนอื่นๆรู้ว่าคุณเป็นเกย์ คุณคิดว่าจะเป็นอย่างไร ชายคนนั้นก็เลยบอก Milk ว่าอีกไม่นาน Milk คงเจ๊งแน่ๆ

    Milk จึงตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่และท้าท้ายอย่างมาก คือการประกาศว่าร้านนี้เป็นพันธมิตรกับเกย์ ในหนังจะแสดงให้เห็นว่า เกย์จากทั่วสารทิศมาเยี่ยมเยี่ยนและมาอุดหนุนร้านของ Milk และรวมไปถึงร้านอื่นที่ยอมร่วมเป็นพันธมิตรกับ Milk ก็ขายดิบขายดี ร้านไหนที่ต่อต้านเกย์ก็ค่อยๆหายไปจากถนนแคสโตร พอผมดูถึงตรงนี้ ทำให้ย้อนกลับมานึกถึงแว่นตายี่ห้อหนึ่งที่เคยมีโฆษณาออกมาล้อเลียนเกย์อยู่พักหนึ่ง จนบัดนี้ผมก็ไม่เคยซื้อแว่นตาร้านเหล่านั้นอีกเลย แม้ว่ายามขับคันต้องการซื้อคอนเทคเลนส์ หากไม่มีร้านอื่นผมก็ขอมองไม่ชัดไปก่อนดีกว่าอุดหนุนร้านแว่นยี่ห้อนี้

    ในยุคนั้นสังคมที่จะมีเธคหรือบาร์ซักแห่งหนึ่งของคนรักเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะโดนตำรวจไปกวนตลอดเวลา ในข้อหาเตร็ดเตร่ยามวิกาล หากไม่ยอมหรือขัดขืนก็จะโดนทุบตีทำร้าย ในหลายๆครั้ง Milk และกลุ่มเกย์ได้บอกไปช่วยเกย์ที่โดนตำรวจทำร้าย การเกิดเหตุการณ์เกย์โดนทำร้ายกลายเป็นเรื่องบ่อยมากขึ้น จนทำให้เกย์แต่ละคนจะต้องพกนกหวีดและเป่าเมื่อโดนกลุ่มเกลียดเกย์ทำร้าย เหตุการณ์รุนแรงมากขึ้นจนเกิดเหตุการที่คู่รักที่เป็นเพศเดียวกันเดินไปตามถนนโดนทำร้ายจนตาย ส่วนอีกคนบาดเจ็บสาหัส ตำรวจสรุปเหตการณ์แย่ๆเหล่านี้ว่า เหล่าเกย์ไปลวนลามเขาก่อน และปฏิเสธที่จะเรียกอีกคนที่รอดว่าเป็นคนรักของผู้ตาย แต่ตำรวจและสื่อใช้คำว่า “คู่ขา” รู้สึกคุ้นๆกันใหมเวลาที่ข่าวอาชญากรรมในเมืองประเทศสารขัณฑ์ลงข่าวที่มีเกย์ถูกฆาตกรรมมักจะระบุว่า “ผู้ตายมีคู่ขาเป็นผู้ชายหลายคน และมักพามาที่ห้อง” บางครั้งผมก็งงว่า ทำไมต้องระบุกันถึงขนาดนี้ ในเมื่อสื่อเองก็ไม่รู้ว่า คนร้ายเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

    เมื่อถึงจุดอิ่มตัวMilk ตัดสินใจเลือกที่จะต่อสู้ทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อสหภาพแรงงานได้เข้ามาขอให้ Milk ร่วมต่อต้านเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่ง Milkและพวกสามารถทำให้เบียร์ยี่ห้อนี้หายไปจากถนนคาสโตร จนเป็นปัจจัยให้ Milk ประกาศตัวลงเล่นเป็นการเมืองเพื่อเรียกร้องสิทธิมนาย์
    แม้ว่า Milk จะลงเลือกตั้งหลายครั้งและไม่ประสบความสำเร็จเลย ไหนจะเรื่องปัญหาเวลาที่ให้กับคนรักของเขาอีก

    จนสุดท้าย Scott Smith ตัดสินใจแยกทางกับ Milk แต่ Milk ไม่เคยย่อท้อ แม้หลายครั้ง Milk จะตัดสินใจที่จะไม่ลงเล่นการเมืองแล้ว เพราะอาจจะท้อแท้ เหนื่อยที่จะต่อสู้กับคนบางกลุ่มที่มีอคติแย่ๆเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกัน ที่ไม่อธิบายยังไงก็ไม่ฟัง แต่ Milk โชคดีที่มีกลุ่มมิตรสหายคนรักเพศเดียวกันให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา มีคนรักที่คอยช่วยเป็นกำลังใจและช่วยวางกลยุทธ์ในการหาเสียง หลายคนช่วยวางกลยุทธ์ในการเลือกตั้ง หลายคนช่วยในการเคลื่อนไหวระดมผู้คนให้ออกมาชุมนุมกันได้เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นคน หลายคนชวนเพื่อนพรรคพวกที่มีความสามารถในการประชาสัมพันธ์มาช่วย Milk โดยเฉพาะนักวางกลยุทธ์คนหนึ่งที่ประกาศตัวว่าเป็นหญิงรักหญิงก็ได้มาช่วย Milk เช่นกัน

    แต่ขณะเดียวกันเกย์บางคนในประเทศสารขัณฑ์ กลับทำตัวตรงกันข้าม ถึงกับสร้างข่าวให้ตัวเองบนการตอกย้ำ Gay Hate Crime ให้กับสังคม และคงอีกนานแสนนานที่เกย์คนนี้จะประสบความสำเร็จทางการเมืองหากยังหันหลังให้กับกลุ่ม LGBT (เลสเบี้ยน เกย์ กลุ่มคนรักทั้งสองเพศ กลุ่มคนข้ามเพศ(สาวประเพศสอง) ; (lesbian gay bisexual transgender)

    กลยุทธ์ของ Milk ที่สำคัญคือเขาบอกกับทีมงานเลือกตั้งของเขาว่า อย่างแรกที่จะต้องทำคือ คนรักเพศเดียวกันต้องเปิดเผยตัวเองเสียก่อน กับครอบครัว กับที่ทำงาน กับเพื่อนฝูง แม้จะมีบางคนในทีมงานจะคัดค้านเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นและเป็นสิทธิส่วนตัว แต่หากคุณจะก้าวไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจเรื่องเกย์แต่คุณไม่เคยบอกตัวตนของคุณกับคนที่รักคุณเลย คุณจะไปทำให้คนอื่นเข้าใจและยอมรับคุณได้อย่างไร

    สุดท้าย Milk ได้รับเลือกตั้งเข้าไปเป็นปากเป็นเสียง ให้กับกลุ่มคนที่ขาดพื้นที่ทางสังคมหลายๆกลุ่ม แต่ถนนการเมืองสายนี้ก็ไม่เรียบง่าย ส่วนเขาจะเป็นอย่างไรลองไปติดตามชมดูในโรงกันนะครับ แต่มีฉากที่หลายคนรู้สึกอึกอัดแทน Milk ก็คือฉากที่แฟนเก่ากับ Milk ต่างก็มีแฟนใหม่และต้องมาเจอกัน ผมว่ากัส แวน แซงต์สร้างฉากนี้ได้ดีทีเดียว อึกอัดแทน Scott ที่ตัดสินใจเลิกกับ Milk เหตุเพราะ Milk มัวแต่สนใจการเมืองจนเริ่มไม่สนใจคนรักและสุขภาพตัวเอง อาจจะเพราะในระยะแรกที่ Milk ลงเล่นการเมืองก็ได้ Scott ช่วยMilk วางกลยุทธ์ติดต่อผู้คน ในขณะที่แฟนใหม่ Milk ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสร้างแต่ปัญหา แต่เขาก็ไม่เคยทิ้ง Milk ไปไหน และทำให้เห็นว่า Milk ยังรัก Scott อยู่แต่เมื่อวันที่ Milk ประสบความสำเร็จคนที่อยู่ข้างกาย Milk กลับไม่ใช่ Scott และScott เองก็ไม่ได้ทิ้งแฟนใหม่ของตนและฉกฉวย Milk มาจากคนรักปัจจุบันของ Milk

    สิ่งที่ผมอยากบอกว่าเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมดนี้ประเด็นหลักๆอยู่ที่ Gay Hate Crime ผมไม่รู้ว่าภาษาไทยแปลว่าอะไร หากจะลองแปลคงเรียกได้ว่า “อาชญากรรมที่เกิดจากการรังเกลียดเกย์” ซึ่งยังคงดำรงสภาวะอยู่บนกรอบ อคติและความเชื่อที่แบนเรียบ หยุดนิ่ง ตายตัว
    Milk จากไปก็เพราะ Gay Hate Crime เกย์หลายๆคนก็จากไปเพราะเหตุเหล่านี้ทั้งจากโดนฆาตกรรมและอัตตวิบากกรรม เพียงเพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้คิด ไม่ได้ชอบ ไม่ได้เชื่อเหมือนกับคนอื่นๆแต่โดนผู้คนใจร้ายในสังคมรังแกด้วยถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจ จนกระทั่งลงไม้ลงมือทำร้ายให้บาดเจ็บหรือตายจากไป

    Gay Hate Crime ไม่ใช่เรื่องของเกย์ในประเทศใดประเทศหนึ่งแต่เกย์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของประเทศ จะภาคเหนือ ภาคใต้ กลางอีสาน ภาคกลางหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของโลก ทุกคนต่างได้เจอะเจอกันทั้งสิ้น เพียงแค่จะมากน้อยต่างกันเท่านั้น ผมหวังเพียงว่าในสังคมไทยคงจะไม่รุนแรงเหมือนต่างประเทศ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เชียงใหม่ กำลังบ่งบอกนัยยะความรุนแรงบางอย่าง จากเหตุการณ์นี้ผมหวังว่ากลุ่มคนรักเพศเดียวกันที่เชียงใหม่คงจะรวมตัวกันและรักกันมากขึ้นนะครับ

    ราตรีสวัสสดิ์พี่น้องชาวไทยที่รัก
    23.13 น.
    030209

  11. +++ อ่านเจอเรื่องจีวรพระในบล็อคของ Quee Film ครับ +++
    http://queerfilm.wordpress.com/

    เห็นว่าน่าสนใจดี เค้าบอกว่าการห่มจีวรพระนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว
    แล้วแต่ว่าภิกษุท่านใดจะห่มยังไง
    แล้วก็เป็นเรื่องของยุคสมัยด้วย
    อุ้ย… มีแฟชั่นในศาสนา เปี้ยวๆๆ

    เผื่อว่าบางที จะได้เห็นธาตุของคนบางคนชัดขึ้น

  12. ครั้งนี้ได้อ่านหลาย ๆ เรื่องในคราวเดียว
    ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันสร้างสรรค์สังคมเล็ก ๆ ของพวกเรา
    ให้อบอุ่นและน่าอยู่มากขึ้นนะครับ

    ส่วน
    [ใคร] จะทำอะไรก็เป็นสิทธิของเขา
    และมันยากที่เราจะทำอะไรโดยปราศจาก อคติ ส่วนตัว จริง ๆ
    แต่ อย่างน้อย …
    ขอเพียงให้คิดถึงคนที่ต้องได้รับผลจากสิ่งที่เรากำลังจะ [ทำ]
    และใช้ [สติ] ทบทวนก่อนตัดสินใจ
    เพื่อวันหนึ่งจะได้ไม่ต้องมานึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

    “We’ve got to have an equal right”
    ^_^

  13. เมโทรไลฟ์ เค้าเปลี่ยนหัวใหม่และเปลี่ยน
    ทิศทางใหม่ครับ ทุกคอลัมน์เลยต้องเปลี่ยนไป

    ตอนนี้กำลังหาที่อยู่ใหม่อยู่ครับ ได้คุยไปบ้างแล้ว
    มีข่าวดีเมื่อไหร่ จะมาบอกกันนะครับ

    ส่วนบล็อคนี้ อัพเดท เหมือนเดิมครับ

    พี่วิทย์

  14. ใครหางานทำอยู่ งานนี้ เค้ารับคนไทยเลยแหล่ะ

    MONITORING AND EVALUATION (M&E) OFFICER, THAILAND

    Population Services International (PSI) is the world’s leading non-profit social marketing organization, operating in more than 60 developing countries. With a bottom-line orientation that is rare among non-profits, PSI markets products and services for family planning, maternal and child health, and the prevention and treatment of AIDS, malaria and other diseases. For more information, please visit: http://www.psi.org.

    PSI Thailand seeks entrepreneurial, dynamic candidates with an interest in private sector approaches to development for the position of M&E Officer. PSI Thailand conducts research and monitoring and evaluation activities to provide information needed to design and implement programs and evaluate their impact. The M&E Officer position is based in Bangkok , Thailand and reports to the Research Manager.

    PSI Thailand focuses on HIV/AIDS prevention among at-risk populations, including injecting drug users and transgenders. With funding from local and international donors, PSI/Thailand distributes HIV/AIDS prevention products and conducts targeted behavior change communications nation wide.

    RESPONSIBILITIES: The M&E Officer’s responsibilities include:

    • Ensure that effective and relevant M&E systems are in place and that the M&E plan is implemented in the GF projects, considering technical suitability, resources and capacities
    • Assist the Research Manager in developing M&E systems and tools
    • Coordinate with Research Manager and Program Manager in M&E processes
    • Prepare training material and train sub-recipient organizations and other relevant implementing partners, as necessary, in M&E and reporting concepts
    • Assist the Research Manager in writing M&E reports
    • Facilitate the process with sub-recipient organizations to ensure that lessons are learned from the projects and program evaluations
    • Work in close cooperation with the Research Officer and Program Coordinators to share information, organize field visits, and provide recommendations

    QUALIFICATIONS: Relevant skills are listed below. It is anticipated that candidates will have the capacity to be trained in these skills where they do not currently have a background.

    • Master degree in Health, Public Health, and/or Social sciences or other relevant field
    • A minimum of three years related M&E experience required
    • Experience in training and mentoring field staff an advantage
    • Ability to work in a cross-cultural environment with flexible working hours
    • Some knowledge of HIV/AIDS, transgender, and IDU an advantage
    • Fluent in Thai and English

    Start Date: May 2009

    To apply, send your resume to: support@psiasia.org by March 13th, 2009.
    For further information please contact PSI Admin on 02-655-4001

  15. เอามาแทงใจ คนเชียงใหม่ค่ะ

    สาวเครือฟ้าสวมปราด้า
    คำ ผกา
    จาก มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ วันที่ 06 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 29 ฉบับที่ 1490 หน้า 91

    (ขออนุญาติเอามาลงให้อ่านกันนะค่ะ เพราะได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วมันก็อดเสียใจไม่ได้ต่อความคับแคบทางความคิดที่เราเอามาจัดแบ่งความเป็นเขาความเป็นเรา โดยเฉพาะการใช้ความเป็นเพศมาเป็นตัวแบ่ง อย่าท้อแท้นะค่ะ สู้ต่อไปค่ะ)

    นอกจากประเทศไทยของเราจะถอยหลังเข้าคลองไปหลายคลองทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรม ประเทศเชียงใหม่ของฉันก็ดิ่งลงไปในความไร้อารยธรรม แถมพกมากับกลิ่นอายของอาการคลั่งชาติ (พันธุ์) คล้ายๆ กับที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นกับสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นไทย” ตอนนี้คนมีอำนาจหรืออยากจะมีอำนาจ (ทางวัฒนธรรม) ในเชียงใหม่ก็ชอบอ้างเหลือเกินเรื่อง “วัฒนธรรมเชียงใหม่ที่เก่าแก่” “วัฒนธรรมล้านนาอันมีเอกลักษณ์” “วัฒนธรรมล้านนาอันงดงามน่าภูมิใจ”

    ถ้าฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายความหลากหลายทางเพศที่จัดเกย์พาเหรดที่เชียงใหม่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ได้ยินใครพูดประโยคนี้คงอยากตอบว่า “ถุยยยส์” ฉันเข้าใจเอาเองว่าอาการป่วยอันเนื่องมาจากการขาดความมั่นคงทางใจ ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน มีตำแหน่งแห่งหนใดในโลกอันยุ่งเหยิงซับซ้อนใบนี้ พ่วงมาด้วยวิตกจริตอับอายคิดว่าตนเองด้อยกว่าคนอื่น อ่อนแอกว่าคนอื่น ถูกรังแก กดขี่จากคนอื่นอยู่ร่ำไป

    อาการเหล่านี้เรียกกันสั้นๆ ว่าเป็น identity crisis หรือวิกฤตอัตลักษณ์

    อาการ “identity เชียงใหม่ crisis” นี้ คงติดเชื้อมาจาก “identity ไทย crisis” นั่นเอง เพราะวลีที่ว่าด้วย เมืองเชียงใหม่งดงาม เก่าแก่ มีเอกลักษณ์ วัฒนธรรมภาษาเป็นของตนเองนั้น ก็เหมือนกันเปี๊ยบกับเวลาที่คนไทยพูดว่า วัฒนธรรมไทยอันอ่อนช้อยงดงามหาที่ใดเสมอเหมือนมิได้นั่นเอง

    อาการนี้เกิดขึ้นกับสยามเมื่อต้องเผชิญโลกสมัยใหม่ที่มาพร้อมกับตะวันตกและการล่าอาณานิคม โลกสมัยใหม่ไม่ได้มีแต่เทคโนโลยี แต่มันคือโลกทัศน์ใหม่ ความรู้ใหม่ การจัดการเรื่องเวลาแบบใหม่ พื้นที่แบบใหม่ การอธิบายอำนาจของรัฐ ของผู้ปกครอง ของอธิปไตยแบบใหม่ การทำความรู้จักเรื่องมนุษย์แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในการรับรู้ของเรา

    ยิ่งไปกว่านั้น เราต้องเผชิญกับมันในฐานะของผู้ที่ “ต่ำต้อย” กว่า แต่เราจำต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เราไม่ได้ต่ำต้อย เราไม่ได้ป่าเถื่อน เราอาจจะทำเครื่องบินไม่ได้ เราอาจจะตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นน้ำแข็งก้อนแรกในชีวิต แต่ไม่ได้แปลว่าเรามีอะไรที่ด้อยกว่าฝรั่ง (อย่างน้อยเราต้องพยายามให้ตัวเราเองเชื่ออย่างนั้น)

    ฉันคงไม่ต้องพูดซ้ำเกี่ยวกับกระบวนการ “งม” หาความเป็นไทย ในมหาสมุทรแห่งความเป็นขอม มอญ ฮินดู พราหมณ์ พม่า ลังกา ฯลฯ “งม” ขึ้นมาไม่ได้อะไรก็ “ประดิษฐ์” ขึ้นมาเสีย สุดท้ายมาได้เป็นความเป็นไทยที่หลั่งไหลอยู่ในสายเลือดของเราทุกวันนี้ วรรณคดีไทยก็เลิศ สถาปัตยกรรมไทยก็ยอด

    (หมายเหตุ จากวงสนทนาหลังการเสวนาที่จัดโดย คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ว่าด้วย ความเป็นไทย: กับดักจินตนาการ เพดานการสร้างสรรค์ เราคุยกันว่า ทำไมเรามีวิชาสถาปัตยกรรมไทย หรือ จิตรกรรมไทย และดูเหมือนเราจะไม่เคยได้ยินว่า ที่ประเทศอิตาลีมีวิชาสถาปัตยกรรมอิตาลี หรือ จิตรกรรมอิตาลี ไม่เคยได้ยินว่ามีวิชา จิตรกรรมอเมริกันที่อเมริกา หรือใครเคยได้ยินว่า มีวิชาจิตรกรรมกรีก??)

    อาหารไทยก็เยี่ยม ภาษาไทยก็เสนาะราวกับเสียงดนตรี วรรณคดีไทยก็ซับซ้อนอ่อนหวาน บทอัศจรรย์ก็ละเมียดไม่หยาบช้าอย่างฝรั่ง ผ้าไทยวิจิตร (ลืมไปว่าเมื่อก่อนใส่แต่ผ้าอินเดีย จีน ญี่ปุ่น คนพื้นเมือง เอ๊ย คนไทย ทอผ้าฝ้ายสีมอๆ เป็นก็บุญแล้ว)

    นี่แค่ตัวอย่าง เพราะถ้าสาธยายกันต่อไปเรื่อย ต้องเกิดเป็นคนไทยซ้ำอีกชาติ

    อาการที่เกิดกับ “ล้านนา” ในช่วงยี่สิบปีให้หลัง มันคล้ายๆ กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับสยามในต้นศตวรรษที่ 20 คนล้านนาที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นสาวเครือฟ้าที่ถูกร้อยตรีพร้อมข่มเหงเหยียบย่ำ เราไม่ยอมฆ่าตัวตายแต่เราพยายามจะไป “งม” หาอัตลักษณ์ของความเป็นล้านนามาประกาศให้โลกรู้บ้างเท่านั้นเอง

    ตัวธรรม ตัวเมืองได้รับการรื้อฟื้น วัดทุกวัดในเชียงใหม่มีชื่อวัดเขียนด้วยตัวเมืองที่คนธรรมดาสามัญอ่านไม่ออก และไม่ต้องมาบังคับให้เรียน

    หากฉันมีลูกก็ยินดีจะให้ลูกเรียนภาษาจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ มากกว่าจะเรียนตัวเมือง เพราะมันเอาไปทำมาหากินได้มากกว่า เว้นแต่ลูกอยากเรียนไว้เป็น “ปราชญ์” ประหนึ่งปราชญ์ฝรั่งที่ต้องรู้ภาษาละติน อันนั้นเป็นอีกเรื่อง

    มีตัวเมืองแล้วก็มีชุดพื้นเมืองที่แฟนซียิ่งกว่าที่จัดแสดงกันในดิสนีย์แลนด์ สารพัดผ้าโพก ผ้าซิ่น ผ้านุ่ง ผ้าแขก ผ้าพม่า ผ้าไทใหญ่ ไทอาหม ปิ่นมวยผม ดอกไม้ อุบะ รัดเกล้า รัดพุง รัดข้อตีน จุดสุดยอดของแฟนซีและแฟนตาซี อันนี้คือสตูดิโอถ่ายรูปเจ้านาง เจ้านาย ย้อนยุค

    โรงเรียนในเชียงใหม่ให้นักเรียนนุ่งชุดพื้นเมืองกันอาทิตย์ละวัน “พื้นเมือง” แปลว่าอะไรไม่รู้ ใส่ซิ่นกันอาทิตย์ละวันแล้วไง? ความเป็นล้านนาพรุ่งปรี๊ดแล้วไง? เชียงใหม่รถติดน้อยลง? มลพิษน้อยลง? จิตสำนึกที่มีต่อส่วนรวมมากขึ้น?

    เคยเห็นเด็กนุ่งซิ่นซ้อนรถเครื่องพ่อ-แม่กลับบ้านไหมว่ามันทุลักทุเล มันโป๊ มันไม่งาม มันไม่ practical กับชีวิตในศตวรรษที่ 21

    งานอีเวนต์ต่างๆ นานามีการแสดงพื้นเมือง ฟ้อนรำล้านนา แปลว่าอะไรไม่รู้ มีหนุ่มกล้ามใหญ่ ใส่ผ้าเตี่ยวเอวต่ำ เห็นซิกส์แพ็กเป็นลอน พร้อมไรขนอ่อนๆ ที่ตรงนั้น…เห็นแล้วอยากจะบ้า (และอยากจะปล้ำ?) นางรำสาวก็แอ่นระแน้ เอวอ่อน ย้ายก้นซ้ายก้นขวา เอ๊กซ์ไม่แพ้พริตตี้เหมือนกัน จากนั้นก็ช่วยกันแซ่ซ้อง

    หูยยยยย ล้านนา! เริ่ดนะยะ!

    นี่ยังดีที่กระแสกาแลค่อยซาลง ไม่อย่างนั้นเรามีอันต้องเห็นตึกทุกรูปแบบทุกท่วงท่าสวมกาแลไว้เสมอ เป็นเครื่องรางกันอาการต่อมล้านนาอ่อนแอ

    ประเด็นของฉันคือ เชียงใหม่หรือล้านนากำลังจะดำเนินรอยตามสยามหรือไทยในการไขว่คว้าหาประวัติศาสตร์และความมั่นใจในตัวเองอย่างผิดๆ เพียงการ “งม” และ คว้าเอาสัญลักษณ์สอง-สามอย่างในประวัติศาสตร์มาแปะไว้ที่หน้าผากของตัวเอง จากนั้นก็คิดว่า เอาล่ะ ฉันเจ๋งแล้ว พร้อมจะเดินโชว์ตัวทั่วโลกพร้อมกับสติ๊กเกอร์ที่เลือกมาแปะไว้ที่หน้าผากนี้ โดยละทิ้งประวัติศาสตร์ที่เหลือทั้งหมดเอาไว้ข้างหลัง (เหยียบๆ แล้วเดินข้ามไปไม่ไยดีเสียด้วยซ้ำ)

    การที่กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ออกมาคัดค้าน ขัดขวางเกย์พาเหรด โดยอ้างว่า ทำความเสื่อมเสียให้แก่เมืองที่มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมดีงามอย่างเชียงใหม่นั้นเป็นเหตุผลที่โง่เง่าน่าอับอายเป็นที่สุด

    เพราะใครก็ตาม ที่มีวุฒิภาวะพอและไม่งมงายอยู่กับความหลงตัวเองอย่างคนมีปมด้อย ต้องรู้ว่าเมืองที่เราจะภาคภูมิใจได้นั้นไม่ใช่เมืองที่เที่ยวแปะกาแลอย่างไม่มีเหตผล ไม่ใช่เมืองที่สักแต่สลักตัวอักษรพื้นเมืองไว้ “โชว์” ไม่ใช่เมืองที่พยายามจับผู้หญิงมานุ่งซิ่นกางจ้อง

    ไม่ใช่เมืองทิงนองนอยหลอกนักท่องเที่ยวไว้ที่ฉากหน้าแต่หลังบ้านก็เป็นซ่องอยู่เหมือนเดิม

    เมืองที่น่าภาคภูมิใจอย่างน้อยสำหรับฉันคือ เมืองที่เคารพคนที่อยู่ในเมืองอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนเมือง คนไทย คนฝรั่ง คนจีน ชาวเขา แรงงานทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย คือเมืองที่เคารพในสิทธิของคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มใหญ่ เมืองที่น่าอยู่ไม่ใช่เมืองที่พยายามจะนำเอาบรรยากาศเมื่อ 700 ปีที่แล้วกลับคืนมา แต่คือเมืองที่อยู่ในโลกปัจจุบันได้อย่างสง่างาม

    คือเมืองที่สะอาดสะอ้าน มีการจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม ขยะ ระบบสาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพ คือเมืองที่ไม่มีรถแดงมาเฟีย วิ่งตามใจชอบ จอดตามใจชอบ คือเมืองที่มีสวนสาธารณะที่ให้คนเข้ามานั่ง มาวิ่ง มาเดิน มาพักผ่อน อย่างปลอดภัย สบายใจ

    และต้องรู้ด้วยว่า สวนสาธารณะที่ดีต้องเงียบ และการเต้นแอโรบิกรวมหมู่ เปิดเพลงดังระดับร้อยเดซิเบลหรือมากกว่านั้นไม่ควรอยู่ในที่สาธารณะอย่างเด็ดขาด

    เมืองที่น่าภาคภูมิใจคือ เมืองที่มีทางเท้าสะอาด กว้างขวาง ผิวเรียบสม่ำเสมอ ให้คนเดินไปยิ้มไป และสามารถกระซิบบอกตัวเองได้ทุกครั้งที่เดินว่า “ฉันรักเมืองนี้จังเลย” ไม่ใช่เมืองที่คิดเรื่อง “เดิน” ได้แค่การตั้งหน้าตั้งตาทำถนนคนเดินที่แปลว่า การปิดถนนให้ซื้อของขายของอาทิตย์ละวันสองวัน

    ถนนท่าแพเล็กๆ นั้นแบ่งออกเป็น 3 เลนให้พ่อค้าแม่ค้าขายของ แล้วคนก็เดินแถวตรงเรียงหนึ่ง เดินดูกันไป ซื้อของกันไปและหายใจรดต้นคอกันไป

    อเนจอนาถเหลือทน

    เมืองน่าอยู่น่าอวดโอ่ ควรมีคอนเสิร์ตฮอลล์ดีๆ มีโรงละครที่มีละครให้ดูสม่ำเสมอ เมืองวัฒนธรรมที่แท้จริงต้องมีพื้นที่สำหรับการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากทั่วโลก ย้ำว่าทั่วโลก ไม่ใช่คอยแต่จะ ต๊ะ-ตึ่ง-โนง กับฟ้อนเล็บ ตีกลองสะบัดไชยกันทั้งชาติ เมืองที่เอะอะก็ต๊ะ ตึ่ง โนง เขาไม่เรียกว่าเป็นเมืองวัฒนธรรมหรอกจะบอกให้

    วงซิมโฟนี่ออเครสตร้าของเชียงใหม่ที่ฟอร์มวงกันมาแล้วต้องถูกผลักดันให้เป็นหน้าเป็นตาของเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในความเป็นล้านนา ล้านนาแล้วอินกับชูเบิร์ตมันผิดตรงไหน

    แล้วขอร้อง วงดนตรีดีๆ ไม่จำเป็นต้องเล่นแต่เพลงพระราชนิพนธ์ราวเป็นเพลงภาคบังคับ คนเชียงใหม่ที่ไม่มีปัญญาไปเมืองนอก ไม่ได้แปลว่าจะต้องขาดโอกาสได้ฟังคีตนิพนธ์ชั้นเลิศของโลก

    เด็กเชียงใหม่อาจจะมีทั้งชอบรำดาบ ฟ้อนเชิง ตัดตุง ขณะเดียวกัน ก็มีเด็กที่ชอบเต้นแจ๊ส ฮิปฮอบ แร็ป ฝันอยากเป็นนักเปียนโนมือหนึ่งของโลก

    แล้วมันกระเทือนความเป็นล้านนาที่ตรงไหน?

    เมืองแห่งการศึกษาและวัฒนธรรมต้องมีห้องสมุดที่จะให้คนให้การศึกษาแก่ตนเองอย่างอิสระ เมืองแห่งประวัติศาสตร์ต้องทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์หลายแนว หลายสกุล มีบรรยากาศแห่งการพูดคุย ถกเถียงเรื่องประวัติศาสตร์ ทั้งประวัติศาสตร์ของตนเอง ของคนอื่น รวมทั้งต้องรู้ว่าประวัติศาสตร์ของตัวเองอาจเป็นอดีตของคนอื่น (คนที่อยู่ในดินแดนล้านนาเมื่อ 800 ปีที่แล้ว อาจจะไม่ใช่ญาติวงศ์พงศาของเราในปัจจุบันเลยก็เป็นได้)

    เมืองแห่งการศึกษาและน่าภูมิใจคือเมืองที่มีความกระตือรือร้นจะรู้จักคนอื่นมากกว่าจะงมงายอยู่กับเรื่องของตัวเอง

    การรู้จักคนอื่นย่อมนำมาซึ่งความเคารพในผู้อื่น เมืองที่มีรากเหง้าและมีความมั่นใจในตัวเองย่อมไม่เปราะบางและวี้ดว้ายเพียงเห็นกะเทยเดินพาเหรด

    เมืองแห่งศตวรรษที่ 21 คือเมืองที่มีจิตวิญญาณแบบเสรีนิยม และประชาธิปไตย ที่ให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิของผู้อื่น ให้ความสำคัญกับความเสมอภาคเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม

    เมืองที่จะได้ชื่อว่ามี “อารยะ” คือเมืองที่นอกจากจะใช้ถุงผ้าและเลิกเผาขยะแล้ว ยังต้องเคารพในความหลากหลายทางเพศ และพึงรู้ว่าความหลากหลายทางเพศไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็น กะเทย ตุ๊ด ทอม ดี้ เกย์ เลสเบี้ยน แต่ในเพศวิถีต่างๆ นานาเหล่านี้ยังมีความซับซ้อนอยู่อีกมาก เช่น

    กะเทยสาว รักกับกะเทยสาว แล้วเรียกตัวเองว่าเป็น เลสเบี้ยน กะเทยแปลงเพศ เป็นผู้หญิงแล้วมีแฟนเป็นทอม ที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน

    ไม่ว่าจะซับซ้อนหรือจะเป็นอะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการทำลายหรือสร้างความเสื่อมเสียแก่เอกลักษณ์ หรือความงดงามทางวัฒนธรรม

    เพราะความงดงามทางวัฒนธรรมที่แท้จริง คือการเคารพความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหน เชื้อชาติอะไร ศาสนาอะไร เพศไหน พูดภาษาอะไร

    เมืองที่ปล่อยให้การมีคนกลุ่มหนึ่งขับไล่การเดินพาเหรดของเกย์ โดยที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองดูจะเห็นชอบ แถมยังออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ปีหน้าถ้าอยากจัดต้องไปจัดในสถานที่ “เหมาะสม” และต้องมีการแสดงออกที่เหมาะสม (www”news.mcot.net/local/inside.php) คนพูดเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

    ขอบอกว่า ถ้าจะต้องมีผู้ว่าฯ บ้องตื้นแบบนี้ ฉันขอให้เราเลือกผู้ว่าฯ เองได้ไหม ชั่ว-ดี อย่างไร เราจะได้รับผิดชอบ “ช้อยส์” ของเราเอง

    เมืองแบบนี้ไม่ใช่เมืองที่น่าภาคภูมิใจ แต่เป็นเมืองที่น่าละอาย เต็มไปด้วยอคติ และการกีดกันทางเพศ ใจแคบ ส่อให้เห็นว่าเป็นเมืองที่ขาดการศึกษา ไร้วุฒิภาวะ และล้าหลังจนน่าเป็นห่วง

    สาวเครือฟ้าจะยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ใช่ด้วยการนั่งพับเพียบเอามือม้วนตีนซิ่นร้องไห้กระซิกๆ เพราะเราไม่ได้อยู่บ้านหลังคากาแลอีกต่อไป แต่อยู่ท่ามกลางอินเตอร์เน็ต โลกดิจิตอล สนามบินนานาชาติ เฟซบุ๊กส์ นายกรัฐมนตรีประเทศไอร์แลนด์เป็นเลสเบี้ยน เมียประธานาธิบดีฝรั่งเศสถ่ายนู้ด ประธานาธิบดีสหรัฐเป็นลูกครึ่ง เคนย่า-อเมริกัน ฯลฯ

    สาวเครือฟ้าควรจะหยุดกระซิกกระซี้ แต่ลงมือเฉดหัวร้อยตรีพร้อมออกจากบ้าน ทิ้งร่มบ่อสร้าง แล้วสวมแว่นกันแดดปราด้า ออกมาร่วมกับเครือข่ายความหลากหลายทางเพศ เดินพาเหรดกับคนนานาเพศเพื่อรณรงค์ให้สังคมล้านนาผละจากตัวธรรมและตุงสักครู่ เพื่อมาสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชนมากขึ้น

    เอามาฝากค่ะ

  16. ขอปรบมือดังๆ ให้คุณ คำ ผกา
    และ สาวอิสานฯ คนโพสต์
    (ในภาพแห่งจินตนาการ เห็นเทอร์นุ่งซิ่นทีนจกกางจ้อง ข้าม culture จากอิสานมาเป็นสาวเครือฟ้า ยิ้มกวาด 180 องศา โบกไม้ โบกมือ ขอบคุณผู้คนที่มารุมชื่นชม)

    ปล. ร่วมด้วยช่วย “ถุยยยส์” ให้กับใครก็ตาม ที่ออกมาคัดค้านพาเหรดเกย์เชียงใหม่ครั้งนี้ด้วยคน ครับ

  17. ใครบอกว่าดิฉันนุ่งผ้าซิ่นตีนจกคะ

    ดิฉันนุ่งบีกินีลายพรางสีชมพูแบบ high cut
    สวมรองเท้าหนังแก้วสีแดงของอะดิดาส
    คาดด้วยแว่นตาสีดำของ GUCCI รุ่น limited edition
    ท่อนบนเป็นยกทรงยี่ห้อจินตนา by เมทินี
    ทาปากสีแดงด้วย ลิปติกของ bobby brown
    ทาเปลือกตาสีส้มด้วย ที่ทาหนังตาของ มาดามซุย

    สวยๆ เริ้สๆ

    เดินนำหน้าขบวนเกย์ไพรด์ ค่ะ

  18. (โทษทีครับ กด submit โดยไม่ได้ตั้งใจ)
    อัพเดทอีกทีเมื่อไร ยังไงก็อย่าทิ้งกันไปไหนนะครับ
    ไปลงบทความไว้ที่อื่น ก็ต้องเอามาลงให้ได้อ่านกันที่นี่นะครับ
    เพราะผมติดตามอ่านคอลัมน์นี้มาตั้งนานแล้ว

ส่งความเห็นที่ prince ยกเลิกการตอบ