Apple + Steve Jobs + Gay

พิเศษ

หน้าม่านมายา 12 ตุลาคม 2554 วิทยา แสงอรุณ facebook.com/vitayas

ก่อนยุค iPad, iPhone, iPod, iTunes, และ iMac ถ้าเห็นผู้ชายคนไหนกำลังใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือโน้ตบุ้คยี่ห้อ Apple จะมีคนคิดว่า “หมอนี่น่าจะเป็นเกย์” จนมีคำแซวกันขำๆ ว่า “If you are a Mac, You are a fag!” (ถ้าคุณใช้แมค คุณเป็น “ตุ๊ด” ชัวร์)

ทำไมแบรนด์ Apple ถึงถูกเชื่อมโยงเข้ากับเกย์ หรือความเป็นเกย์?

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เหล่าเกย์เป็นสาวกพันธุ์แท้ยุคแรกๆ ของ Steve Jobs และ Apple Computer ซึ่งน่าจะอธิบายได้จากผลิตภัณฑ์ยุคแรกๆ ของ Apple ที่เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถสูงในการประมวลผล โดยเฉพาะสำหรับงานกราฟฟิค

คงไม่ใช่เพราะภาพลักษณ์หรือคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ ว่า ใครใช้เครื่องแมค จะดูหรู เท่ มีตังค์ และเหล่าเกย์ เป็นคนที่ชอบความหรู เท่ และมีตังค์ เลยใช้แมค

แต่น่าจะเป็นเพราะว่า เหล่าเกย์ ทำงานในแวดวงดีไซน์เป็นจำนวนมาก เราจึงมักเห็น Apple ปรากฏตัวพร้อมกับเหล่ากราฟฟิคดีไซเนอร์ และบังเอิญ คนที่ทำงานในแวดวงนี้ ถ้าเป็นเกย์ ก็มักจะไม่แอบ ไม่ปกปิดกัน

ภาพลักษณ์ของ Apple ถูกตอกย้ำให้สนิทแนบกับเกย์ และความเป็นเกย์มากยิ่งขึ้นด้วยโลโก้เฉดสีรุ้ง (ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นสีโครมเมื่อเร็วๆ นี้ หลัง Apple บุกตลาดคอนซูเมอร์มากขึ้นด้วยการออกผลิตภัณฑ์ตระกูล “i” สารพัด)

แต่ความจริงแล้ว ไม่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัดว่า Steve Jobs เลือกโลโก้เป็นรูปแอปเปิ้ลแหว่งสีรุ้งเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ คือ สีรุ้งเป็นสีหนึ่งของสัญลักษณ์เกย์ กะเทย ทอม ดี้ หรือกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

และเป็นที่รู้กันว่า แบรนด์ Apple คือแบรนด์ที่เป็นมิตรกับเกย์ หรือ gay-friendly มากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก นอกจากจะเป็นแบรนด์ที่ได้รับการสำรวจว่า เป็นแบรนด์ในดวงใจของบรรดาผู้บริโภคทั่วโลกแล้ว

อย่างในปี 2008 Apple ก็ได้รับการโหวตว่าเป็นแบรนด์ gay-friendly สูงสุดอันดับสอง (รองจากสถานีโทรทัศน์เคเบิ้ลชื่อ BRAVO) จากการสำรวจกว่า 2,000 คนโดยเว็บเกย์ชื่อดัง PlanetOut ร่วมกับบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง

ตัวชี้วัดการเป็นแบรนด์ขวัญใจมนุษย์สีรุ้งที่ชัดเจนที่สด น่าจะมาจากนโยบายของบริษัทที่เป็นที่รู้กันในแวดวงไอทีว่า พนักงานที่เป็นเกย์ กะเทย ทอม ดี้ ที่นี่ ไม่ต้องแอบ ไม่ต้องปกปิดตัวเอง เพราะบริษัทสนับสนุนให้พนักงานเป็นตัวของตัวเอง แถมยังมีโนบาย Equalityในเรื่องประโยชน์ต่างๆ และให้ความเท่าเทียมกันในการก้าวหน้าในตำแหน่งการงาน

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อเร็วๆ นี้ Tim Cook ได้รับเลือกเป็นทายาทของ Steve Jobs ในการกุมบังเหียนบริษัทแห่งนี้ ถึงแม้ Tim Cook จะไม่เคยพูดถึงความเป็นเกย์ของตัวเอง เขาก็ไม่เคยปฏิเสธ และในบริษัทแห่งนี้ก็สนับสนุนให้พนักงานเป็นตัวของตัวเอง (คุณจะดูใบหน้าของเหล่าเกย์ เลส ทอม ดี้ และผู้หญิงข้ามเพศได้ในวิดีโอแคมเปญดังรณรงค์ไม่ให้เหล่าเกย์วัยรุ่นฆ่าตัวตาย It Gets Better: Apple Employee http://www.youtube.com/watch?v=iWYqsaJk_U8)

นอกจาก Tim Cook แล้ว ก็ยังมีบุคคลอื่นๆ ในตำแหน่งสำคัญของ Apple อีกที่เป็นเกย์ เช่น Randy Ubillos หนึ่งในผู้สร้างโปรแกรมตัดต่องานภาพยนตร์และวิดีโอ Final Cut (และ Premier) และ Steve Demeter ผู้ริเริ่มคิดค้นเกมที่เล่นกับ iOS

นโยบายสนับสนุนความเท่าเทียมกันของ Apple และ Steve Jobs ถือเป็นจุดยืนที่ชัดเจน ในอเมริกา หากเมืองไหนที่ Apple จะไปเปิดสำนักงานหรือเปิดการค้าร่วมด้วยนั้นไม่สนับสนุนองค์กรที่สนับสนุนความเท่าเทียมกัน Apple ก็เลือกจะไม่ไปลงทุน

……………………………………………………………………………………………..
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์ และพิธีกรรายการ Pink Mango วาไรตี้ชั้นนำสำหรับผู้ชายเช่นคุณ ห้าทุ่ม ทางแมงโก้ทีวี http://www.pinkmango.tv

Emerging Family ครอบครัวยุคใหม่มีแม่/พ่อสองคน

พิเศษ

หน้าม่านมายา 22 Feb 2011 วิทยา แสงอรุณ facebook.com/vitayas

“คนที่เลี้ยงดูผมมา ไม่มีผลทำให้ผมผิดแผกแตกต่างจากใครๆ”

แซค วอห์ล หนุ่มน้อยวัย 19 กำลังพูดถึงผู้หญิงสองคน คนหนึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด และอีกคนเป็นคู่ชีวิตของเธอ นักศึกษาหนุ่มจากคณะวิศวกรรมศาสตร์คนนี้เลยมีแม่สองคน เขาไม่รู้หรอกว่า พ่อเป็นใคร เพราะเขาเกิดจากสเปิร์มของผู้บริจาค เช่นเดียวกับน้องสาวของเขาซึ่งเกิดจากสเปิร์มของผู้บริจาคคนเดียวกัน

คุณผู้อ่านรู้สึก “อึ้ง” หรือรู้สึก “ทึ่ง” ครับ?

มาลองนึกดู เรามักได้ยินเรื่องดารา นักร้อง และเรื่องอุ้มบุญ หรือไม่ก็เห็นจากในหนังฮอลลีวู้ด แต่ส่วนใหญ่มักเป็นคู่ชาย-หญิง และใครๆ ก็ไม่ค่อยทึ่งหรืออึ้ง หรือตั้งคำถามว่า เด็กที่โตมาจะเป็นยังไง เพราะเด็กมีพ่อและมีแม่ เป็นผู้ชายหนึ่งคน และเป็นผู้หญิงหนึ่งคน

แต่ถ้าเป็นคู่ชาย-ชาย รับเด็กมาเลี้ยง หรือคู่หญิง-หญิงรับบริจาคเสปิร์ม เพราะอยากมีลูก ผู้คนมักจะตั้งคำถามว่า แล้วเด็กที่เกิดมาล่ะ ได้เห็นผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกัน หรือเห็นผู้หญิงสองคนอยู่ด้วยกัน จะทำให้เด็กสับสน หรือจะทำให้เด็กมีปัญหามั๊ย?

คำถามเหล่านี้ก็ยังคงวนๆ อยู่เพราะเรามีกรอบคิดบนฐานเดิมๆ ที่ว่า ครอบครัวที่ดีควรประกอบด้วยพ่อและแม่ มีเพศหญิงและคู่กับเพศชาย จะได้อบอุ่น อะไรที่ผิดจากกรอบนี้ จะเป็นปัญหา

เราคงลืมไปแล้วว่า เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนหย่ากันได้ง่าย เหมือนตอนได้กัน สถาบันครอบครัวที่มีพ่อหนึ่งและแม่หนึ่งอยู่ด้วยกันกับลูกๆ เลยเปลี่ยนไป เราจึงได้ยินคำว่า “แม่เลี้ยงเดี่ยว” กันบ่อยๆ แต่ก็น่าแปลกนะครับ ไม่ค่อยได้ยินคำว่า “พ่อเลี้ยงเดี่ยว”

คำถามตรงนี้ก็คือ แล้วเด็กจะมีปัญหามั๊ยที่มีพ่อหรือมีแม่เพียงคนเดียวที่เลี้่ยงมา? ถ้าเกิดครอบครัวแม่หนึ่งลูกหนึ่งนี้อยู่ดีมีสุข ผู้คนก็คงเฉยๆ แต่ถ้าลูกเป็นเด็กมีปัญหา ผู้คนก็รีบบอกว่า เพราะเด็กมันไม่มีพ่อ

ตกลงจริงๆ แล้ว เด็กจะดีหรือจะมีปัญหาเป็นเพราะอะไรกันแน่ เพราะมีแม่เลี้ยงเดี่ยวอยู่คนเดียว? หรือเพราะกำพร้าพ่อ เลยไม่มีแบบอย่าง? ชีวิตเด็กดีคือมีคนทั้งชายและหญิงเป็นผู้เลี้ยงดู?

ทั้งๆ ที่เราก็รับรู้ และเห็นอยู่บ่อยๆ ว่า เด็กที่มีทั้งพ่อและแม่ (แถมมีย่า มียาย มีพี่เลี้ยงและมีพี่น้อง) ก็กลายเป็นเด็กมีปัญหาได้เหมือนกัน

สำหรับหนุ่มแซค เขายืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยและพูดต่อหน้าบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ที่กุมการตัดสินใจในสภาล่างของรัฐไอโอว่าเรื่องการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ซึ่งเคยอนุมัติไปแล้วว่า ควรจะมีการเปิดโหวตหยั่งเสียงประชามติอีกครั้งมั๊ยว่าจะยกเลิกหรือไม่

คำปราศรัยของแซคซึี่งใช้เวลาเพียง 3 นาทีนั้นกระชับ ได้ใจความ ตรงประเด็น ไม่กล่าวโทษใคร ไม่มีใส่อารมณ์สร้างสีสันแต่อย่างใด ตรงไปตรงมาอย่างที่สุด และเป็นคำถามง่ายๆ ที่บรรดาผู้ที่ไม่เห็นเด้วยกับการแต่งงานของคนเพศเดียวกันไม่อยากจะตอบ

เขาถามว่า คนสองคนรักกัน และอยากจะแต่งงานจดทะเบียนกัน รัฐไม่มีสิทธิห้าม เพราะคนเหล่านั้นเป็นพลเมือง ครอบครัวของเขาไม่ได้ต่างจากครอบครัวที่มีพ่อและมีแม่ ครอบครัวของเขามีทะเลาะเบาะแว้งกัน เขาก็มีช่วงชีวิตที่น่าเบื่อบ้าง ต้องทำงานบ้าน มีเรื่องกับน้องสาวบ้าง แต่นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวอื่น ไม่ใช่เหรอ?

คนส่วนใหญ่ที่คัดค้านการแต่งงานจดทะเบียนของคนเพศเดียวกันรู้สึกว่า สถาบันการแต่งงานที่ควรเป็นเรื่องของชายและหญิงกำลังสั่นคลอน โดยไม่อยากรับรู้ความจริงว่า คนหย่าร้างกันมากขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และยังยึดติดว่า การแต่งงานและจดทะเบียนกันเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการธำรงไว้เพื่อความศักดิ์สิทธิ์แห่งการครองคู่

เกย์และเลสเบี้ยนไม่ได้ต้องการ “ความศักดิ์สิิทธิ์” สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ การไม่เลือกปฏิบัติ และสิทธิในฐานะคนเสียภาษีคนหนึ่ง เรื่องการแต่งงานหรืออยู่ด้วยกันของคนเพศเดียวกันนั้น หากได้รับการรับรอง ชีวิตของทั้งสองคนจะได้รับประโยชน์นานับประการ ประโยชน์ที่คู่ชายหญิงทั่วไปได้รับมาตลอด แต่คนกลุ่มนี้ไม่เคยได้สัมผัส

ผมคิดว่า คำว่าแต่งงานหรือ “marriage” เป็นสิ่งสมมุติ การปฏิบัติต่อกันและการมีส่วนในชีวิตของคนที่อยู่ด้วย สำคัญกว่าแต่ต้องมีการรับรองและรับรู้อย่างที่คู่ชาย-หญิวได้รับ ซึ่งในที่สุดแล้ว เราจะเรียกว่า civil union หรือเรียกว่าคู่ชีวิต หรือคู่ครองก็แล้วแต่ แต่สิทธิและผลประโยชน์ต้องได้ไม่ต่างกัน

ถ้าคุณอยากจะฟังคำปราศรัยของนายแซคแบบเต็มๆ ค้นที่ YouTube พิมพ์คำว่า Zach Wahls Speaks About Family คนดูเลยหลักล้านแล้ว


…………………..
วิทยา แสงอรุณเป็นคอลัมนิสต์ โปรดิวเซอร์ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men ทาง iRadio (www.nationradio.coth คลิก iRadio คืนวันอาทิตย์เวลา 22.00) และรายการ Pink Mango ทาง แมงโก้ทีวี ชมย้อนหลัง http://www.youtube.com/PinkMangoTV

เมื่อลูกสาวแปลงเพศเป็นลูกชาย

พิเศษ

Chastity Bono

she knows what she wants.

หน้าม่านมายา 8 February 2011 วิทยา แสงอรุณ facebook.com/vitayas

ตอนที่ น.ส. “แชสติตี้” บอกคุณแม่ “แชร์” ว่า หล่อนเป็นเลสเบี้ยนเมื่อหลายปีก่อน คุณแม่นักร้อง-นักแสดงคนดังถึงกับออกอาการ “รับไม่ได้อย่างรุนแรง” ทั้งๆ ที่คุณแม่มีสาวกเกย์อยู่ทั่วโลกและได้ขึ้นแท่นในฐานะ “Gay Icon” คนหนึ่งของโลกมานานนับปี

ทั้งๆ ที่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง มีเพื่อนเป็นเกย์ เป็นเลสเบี้ยนมากมาย แต่ทำไม๊คุณแม่แชร์ถึงมีปฏิกิริยาเป็นลบที่ลูกสาวมาพูดความจริงกับเธอว่า หล่อนไม่ได้รักผู้ชาย?

ผมมานั่งคิดๆ ดู คิดถึงบรรดาคนที่บอกว่า รับได้ถ้าเพื่อนเป็นเกย์ เป็นเลสเบี้ยน เพราะ “ฉันมีเพื่อนเกย์ กะเทย เลสเบี้ยนเยอะแยะ ฉันเข้าใจพวกเค้า” แต่เอาเข้าจริง เพื่อนก็คือเพื่อน เพื่อนไม่ใช่สายโลหิต คุณป้าแชร์ก็ไม่ได้เบ่งเพื่อนออกมาแต่เบ่งลูกสาวออกมา ตามมาพร้อมความคาดหวังต่างๆ ที่ได้บุตรเป็นทารกเพศหญิง ดังที่คุณแม่คนไหนๆ ก็รู้สึกเช่นนั้น

แต่บุตรสาวคนนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ ตอนนั้นเด็กอายุขนาดนี้คงไม่กล้าเดินไปบอกว่า แม่หรอกว่า แม่จ๋า หนูเป็นเลสเบี้ยน คงได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้คนเดียว แล้วก็เครียดๆ ลึกๆ อยู่คนเดียวเหมือนเด็กที่เป็นเกย์ กะเทย เลสเบี้่ยนอีกมากมายที่เคยทรมานอยู่กับอาการพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

สำหรับคุณแชสติตี้ จริงๆ แล้ว คุณพ่อต่างหากที่รู้เรื่องนี้ก่อน และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ผิดกับคุณแม่แชร์ที่ใช้เวลาพักใหญ่ๆ ถึงจะยอมรับว่า จริงๆ แล้ว เธอไม่ได้เบ่งลูกสาวออกมา แต่เธอมีลูกชายต่างหาก!

ราวปี 2008 แชสติตี้เริ่มชัดเจนกับตัวเองมากขึ้นว่า เธอไม่ได้แค่เป็นหญิงรักหญิง แต่จริงๆ แล้ว เธอเป็น “Transgender” เพราะเธอรู้สึกอึดอัดกับสภาพความเป็นหญิงทั้งทางร่างกาย และการที่สังคมปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นผู้หญิง Transgender น่ะครับ คุณผู้อ่านคือ บุคคลที่สรีระ อวัยวะต่างๆ ไม่ได้ตรงความรู้สึกของจิตใต้สำนึกของตัวเอง

เช่นเดียวกับบรรดากะเทยที่คิดจะแปลงเพศทั้งหลาย พวกเขาไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็น Transgender ต่างหาก แต่สังคมมักจะมองผ่านเลนส์เดิมๆ ว่า ไอ้หมอนี่ เป็นผู้ชายดีๆ ไม่ชอบ อยากจะเป็นผู้หญิง เสียชาติเกิด!

ถึงเวลาแล้วที่ควรจะมองอะไรใหม่ๆ ว่า พวกเขาเป็น Transgender ไม่ใช่ผู้ชายทั่วๆ ไป ไม่ใช่ผู้หญิงทั่วๆ ไป ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ที่เลือกว่า อยากจะอยู่ในร่างผู้ชาย หรือร่างผู้หญิง พวกเขาไม่ใช่คนวิกลจริต ผิดเพศ เพี้ยน หรือป่วยที่อยากจะแปลงกะจู๋ให้เป็นกะจิ๋มซะงั้น กระบวนการแปลงเพศจากเพศชายไปเป็นเพศหญิงหรือ Male to Female (MTF) หรือ จากเพศหญิงเป็นเพศชาย Female to Male หรือ FTM ไม่ได้ทำกันง่ายๆ ต้องมีการเตรียมพร้อม เช็คแล้วเช็คอีกว่าเพื่อให้ชัวร์ว่า คนที่กำลังจะแปลงเพศเป็น Transgender จริงๆ

ผมเชื่อว่า คนที่อ่านข่าวไทยรัฐเรื่อง ทอมแห่มา “ต่อจู๋” ที่เมืองไทย คงมีบ้างที่คิดว่า “พวกนี้เพี้ยน” และความคิดอย่างนี้นี่เองที่ทำให้สังคมมองคนเป็นเกย์ กะเทย เลสเบี้่ยน และเพศอื่นๆ ผิดเพี้ยนกันไป พาลคิดไปว่า สังคมจะยิ่งเสื่อมลงเพราะมีคนเหล่านี้อยู่

คุณผู้อ่านครับ ถ้าคุณมีชีวิตดีๆ แล้วมีความสุขกับสิ่งที่คุณเป็น คุณก็คงไม่กระเสือกกระสนทำอะไรให้ยุ่งยากลำบาก แต่ถ้าคุณอยู่ในร่างที่มัน “ไม่ใช่” คุณย่อมมีความทุกข์และพยายามหาทางออกเช่นเดียวกัน

ตอนนี้ คุณแชสติตี้ ได้กลายเป็นคุณ “แชส” อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ศาลในแคลิฟอร์เนียได้ตัดสินใจอนุญาตให้เขาใช้คำนำหน้านามเป็นมิสเตอร์ได้ และให้เปลี่ยนเพศในเอกสารต่างๆ ให้เป็นชาย แชสทำงานเป็นคอลัมนิสต์และเป็นคนต่อสู้เพื่อสิทธิเกย์ กะเทย เลสเบี้ยนอย่างขยันขันแข็งระดับผู้นำเลยทีเดียว

ผมไม่แน่ใจว่าคุณแม่แชร์วัย 63ของคุณแชส รู้สึกยังไงในตอนนี้ แต่ถ้าเห็นลูกคนนี้มีความสุขขึ้นในวัยเริ่มสี่สิบ และตั้งใจทำงานให้สังคมอย่างขยันขันแข็งอย่างนี้ การมีลูกชายแทนที่จะเป็นลูกสาว และหัดเลิกตั้งความหวังหรืออยากเห็นอะไรต่างๆ จากตัวลูก ก็คงทำให้เธอมีความสุขขึ้นเช่นกัน
…………………..
วิทยา แสงอรุณเป็นคอลัมนิสต์ โปรดิวเซอร์ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men ทาง iRadio (www.nationradio.coth คลิก iRadio คืนวันอาทิตย์เวลา 22.00) และรายการ Pink Mango ทาง แมงโก้ทีวี ชมย้อนหลัง www.youtube.com/PinkMangoTV

Talk Sex สำรวจพฤติกรรมเกย์วัยรุ่น

พิเศษ

Teens love to display themselves.

หน้าม่านมายา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วิทยา แสงอรุณ facebook.com/vitayas

“เค้าชวนผมขึ้นรถไป ผมก็ตามเค้าไป ผมไม่ได้พกอะไรไปเลย แล้วเค้าก็ไม่พกอะไรมาเลย จำได้ว่า เค้าบอกว่าเรียนเภสัช ส่วนผมก็ไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน ตอนนั้น อายุ 19 เราก็เลยมีอะไรกันโดยไม่ได้ใส่ถุง”

หนุ่มคนหนึ่งโทรเข้ามาแชร์ประสบการณ์กับเราในช่วง “Talk Sex” ช่วงเปิดใหม่ในรายการ Pink Mango เพิ่งออกอากาศไปได้เทปแรกด้วยตอนที่ชื่อว่า “เซ็กซ์ด่วนๆ ในสวนสาธารณะ” รายนี้โทรมาเล่ากับเราว่า เค้าไปเดินสวนสาธารณะแห่งหนึ่งยามวิกาล เพราะอยากรู้อยากเห็น จึงได้พบกับหนุ่มคนนั้นที่ใจตรงกัน

Talk Sex อยากจะเป็นเวทีเปิดโอกาสให้คุณผู้ชมได้มีส่วนร่วมแชร์ประสบการณ์เรื่องเพศสัมพันธ์และความสัมพันธ์ในแบบ “เปิดอกคุยกัน” คุยกันได้ทุกเรื่อง คุยอย่างไม่ต้องอาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับวัยรุ่น

ตอนแรกทีมงานบอกว่า ไม่แน่ใจว่าจะมีคนโทรเข้ารายการบ้างหรือเปล่า เพราะชื่อรายการก็ “ส่อ” เสียเหลือเกิน และอีกส่วนหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่า คนส่วนใหญ่จะมองเหล่าชายรักชายว่า “บ้าเซ็กซ์” และ “มั่วเซ็กซ์” ซะอีกหรือไม่ เพราะเวลาที่พูด อะไร หรือว่าอะไรเกี่ยวกับเกย์แล้ว คนฟังมักจะนึกถึงกิจกรรมบนเตียงอยู่ร่ำไป

แต่จริงๆ แล้ว เรื่องเซ็กซ์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์ สำคัญแค่ไหนก็ต่างกันไปแต่ละคน และแต่ละคู่ และไม่จำเป็นต้องอยู่บนเตียง เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องเซ็กซ์นี่แหละที่ทำให้ชีวิตมนุษย์ยุ่งเหยิง โดยเฉพาะมนุษย์เกย์ที่โดนตีตราอยู่เสมอๆ ว่า ทำผิด ทำบาป ยิ่งเป็นเรื่องเซ็กซ์ คนกลุ่มนี้น่าจะบาปเยอะอยู่ เซ็กซ์กับบาป ในความจริง ไม่น่าจะต้องอยู่เคียงคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เกย์ หรือมนุษย์ชายหญิง เวลามีอะไรกัน แบบไหน ก็ถึงจุดสุดยอดได้เหมือนกัน และหลายๆ ก็อยากจะทำ ถ้าได้ทำ

เรื่องของมนุษย์เกย์ ยังมีชีวิตของเกย์อีกหลายคนที่ยังต้องเล่นซ่อนแอบอยู่ เป็นชีวิตที่น่าสนใจ ขณะที่ใครๆ ไม่รู้ว่า เขาชอบบริโภคบุรุษเพศเหมือนกันมานานแล้ว ขณะที่สังคมหรือครอบครัวยังปฏิเสธเขาอยู่ ยิ่งทำให้เขาต้องเนียน แอบซ่อน “ความอยาก” เอาไว้ แต่ความรู้สึกอยากระบาย ความรู้สึกอยากจะมีอะไรกับใครซักคน อยากจะกอดใครซักคน มันมีอยู่ในทุกคนนะครับ แล้วคนที่ยังแอบอยู่ เค้ามีวิธีการระบายความต้องการของเขาได้ยังไง?

เซ็กซ์ที่ต้องซ่อนเร้น เซ็กซ์ที่ต้องแสวงหาในที่ที่ไม่น่าไปหา อย่างสวนสาธารณะหรือในส้วม ดั้นด้นไปยังสถานที่ที่ทรัพย์ของคุณอาจถูกปลด หรือคุณอาจไม่มีลมหายใจกลับออกมา กลายเป็นสิ่งกระตุ้นความอยากให้ทวีขึ้นไปอีก มันลึกลับ มันซ่อนเร้น ตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อย จะได้ใครระบายความใคร่มั๊ย แต่ที่แน่ๆ ไม่มีใครอยาก “จั่ว” ได้ HIV กลับมา ทั้งๆ ที่เตือนกันอยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้ ในสวนสาธารณะต่างๆ ก็ยังมีเงามืดๆ ตะคุ่มๆ เดินไปเดินมาขวักไขว่ และวัยรุ่นเกย์เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดที่ติดเชื้อ HIV ในปัจจุบันนี้

ผมเคยไปเดินสำรวจอยู่หลายสวนทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ถ้าคุณคิดว่า เซ็กซ์ในสวนเป็นที่สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ คนรายได้น้อย หรือคนที่หน้าตา “ขายไม่ออก” แน่ๆ ในตอนกลางวัน คุณก็คิดไม่ต่างจากผม จนกระทั่งเห็นด้วยตาตัวเองว่า ทุกอย่างตรงกันข้าม ในนั้น มีทุกรูปแบบ (นี่ผมกำลังกระตุ้นความอยากให้คุณรู้สึกอยากจะไปเดินในสวนหรือเปล่าเนี่ย?)

“Talk Sex” ในสัปดาห์ต่อๆ ไป จะยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะคนจัดและทีมงานคึกกันหนัก แต่เพราะว่า มีเรื่องราวอีกหลายเรื่องที่ถูกปิดบังมานาน ไม่มีใครกล้าพูดถึง และถึงมีคนกล้าพูดถึง ก็จะไม่พูดกันตรงๆ จน มีอีกมากมายที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ ทำไมวัยรุ่นเกย์ถึงมีพฤติกรรมอย่างนั้น เราอยากจะรู้และเข้าใจ

ไม่ว่าจะเป็น ชีวิตเด็กหอ หลังจากจบม. หก ในช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากวัยมัธยมนุ่งกางเกงขาสั้นไปสู่วัยอุดมศึกษา เด็กหลายคนเพิ่งจะจากบ้านมาครั้งแรก อยู่คนเดียว และมีหลายสิ่งอย่างที่ยังไม่เคยทำมากมาย พวกเขาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่ให้อิสรเสรีอย่างเต็มที่ ณ สถานการณ์ “นอกสายตา” พ่อแม่ยังไง? เราจะเรียกตอนนี้ว่า “เมื่อนกน้อยออกจากรัง”

เทคโนโลยีนำคนให้มาพบกัน และมีอะไรกันได้อย่างง่ายดาย “Talk Sex” จะไปสำรวจเว็บบอร์ด ห้องแชทรูม
แคมฟรอก, MSN, Skype, Grindr (แอพริเคชั่นฮ็อตๆ ในมือถือที่จะช่วยให้ผู้ใช้หาคนถูกใจอีกคนได้ในระยะทางตามต้องการ เค้าอาจจะอยู่ 500 เมตรห่างจากคุณ) ดูซิว่า วัยรุ่นยุคนี้ก้าวล้ำไปกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนชีวิตและสร้างประสบการณ์ของพวกเค้าได้อย่างไร

และมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมายที่น่าค้นหาเกี่ยวกับเกย์วัยรุ่นและการใช้ชีวิตของพวกเค้า เราจะออกไปสำรวจกัน หากคุณผู้อ่านสนใจอยากจะเข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เป็นแขกรับเชิญในรายการ เพื่อให้ข้อมูลเป็นวิทยาทาน หรือมีเพื่อนหรือญาติที่จะแนะนำ (ขออายุไม่เกิน 24 ปีนะครับ) อีเมลามาได้ที่ pinkmangoTV@gmail.com มีค่าตอบแทนให้ตามสมควร

“Talk Sex” อยู่ในรายการ Pink Mango ซึ่งออกอากาศทุกวันเสาร์เวลา 23.00 ถึงตีหนึ่ง สองชั่วโมงเต็มทางช่องแมงโก้ทีวี มาเปิดใจคุยกัน (ชมทางจานดาวเทียมหรือทางเน็ตได้ที่ http://www.mangoTV.TV)
……………………..
วิทยา แสงอรุณเป็นคอลัมนิสต์ โปรดิวเซอร์ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men ทาง iRadio (www.nationradio.co.th คลิก iRadio คืนวันอาทิตย์เวลา 22.00) และรายการ Pink Mango ทาง แมงโก้ทีวี ชมย้อนหลัง www.youtube.com/PinkMangoTV

คุณพี่ขา เค้าเป็นเกย์มั๊ยคะ?

พิเศษ

หน้าม่านมายา 11 ม.ค. 2011 คุณพี่ขา เค้าเป็นเกย์มั๊ยคะ?
วิทยา แสงอรุณ http://www.facebook.com/vitayas

คนที่รู้ตัวว่า ตัวเองเป็นเกย์และยังแอบๆ อยู่ จะเหมือนกับคนที่ “หลอกลวง” คนอื่นมั๊ย? แล้วถ้า…คนๆ นั้นยังไม่พร้อมจะบอกใคร ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครเข้าใจผิด แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจไปเองว่า เค้าเป็นชายที่รักชอบผู้หญิงแต่พอความจริงปรากฎ ชายเกย์คนนั้น เข้าข่าย “หลอกลวง” หรือเปล่า?

ผู้หญิงที่ตามติดผู้ชายคนหนึ่ง และคิดว่า เค้าน่าจะเป็นสามีในอนาคต เป็นพ่อที่ดีของลูกได้ หล่อนทุ่มเทใกล้ชิดสนิทสนม ช่วยเหลือ แต่ไม่เคยได้เชยชมชายคนนั้น ผู้หญิงคนนี้ควรล้มเลิกความพยายามแล้ว “ทำใจ” มั๊ย? ลองมาอ่านบทสนทนาด้านล่างดู ถ้าคุณเป็นชายคนนี้ หรือผู้หญิงคนนี้ คุณจะทำยังไง?

วิทยา: คุณน้องเป็นใครน่ะครับ คุณผู้ฟัง คุณผู้ชม Pink Mango หรือว่าคุณผู้อ่าน มาแอดพี่เนี่ย?

หญิง: เป็นผู้ฟังค่ะ ฟังมานานแล้วล่ะค่ะ…แต่ไม่กล้าแอด…ตอนนี้มีเรื่องกลุ้มมากเลยค่ะ เลยแอดไป อยากถาม
อ่ะค่ะ

วิทยา: อ้ะจ้า ถามมาทาง message นี้ได้เล้ย

หญิง: พี่คะ มีวิธีสังเกตผู้ชายเป็นเกย์หรือเป็นไบมั๊ยคะ แล้วผู้ชายที่ใส่บิ๊กอายเนี่ยะ จำเป็นต้องเป็นเกย์มั้ยพี่…แบบเพื่อนที่เป็นเกย์ยังมองไม่ออกเลย…เพื่อนหนูฝากมาขอบคุณรายการพี่ด้วยนะ ตอนนี้มันมีคนมาให้เลือกเต็มเลย อิอิ

วิทยา: บอกยากมากนะน้องนะ บางคนแอบสนิทปิดประตูตาย ดูยังไงก้อไม่รู้ มีวิธีเดียว ถามเลย ถ้าปฏิเสธ แต่หนูไม่แน่ใจ ก้ออย่าไปเข้าใกล้นะจ๊ะ เดียวเค้าทำบิ๊กอายใส่! แล้วเพื่อนคนที่ฟังรายการพี่นี่ เป็นเก้งกวางเหรอจ๊ะ?

หญิง: เพื่อนหนูเป็นเกย์ค่ะ มันชอบรายการพี่มากๆๆๆๆ แต่ผู้ชายที่หนูสงสัยว่าเป็นเกย์มั้ย เค้าเป็นคนที่หนูแอบชอบมาหลายปีแล้ว ไม่เห็นว่าเค้าจะมีแฟน…มีแต่คนพูดว่าเค้าเป็น พอหนูลองๆ พูดเรื่องนี้…เค้าโกรธมากเลย หนูไม่รู้จะเอาไงต่อดี กลัวชอบไปมากกว่านี้ แล้วเค้าเป็นเกย์ หนูจะถอนตัวไม่ขึ้น เลยอยากหาวิธีสังเกตอ่ะค่ะ

วิทยา: อ้ะนะ หนูถอนเลย เค้าเป็นเกย์ชัวร์จ้ะ ผู้ชายทั่วไป (ไม่ใช้คำว่า ผู้ชายแท้นะ) เค้าไม่โกรธหรอก ถ้ามีคนไปสงสัยว่า เค้าเป็นเกย์เปล่า แต่ชายเกย์ที่ยังต้องแอบๆ อยู่ เค้าจะโกรธมาก และยิ่งถ้ารู้ว่า หนูแอบชอบเค้าอยู่ เค้าจะรู้สึกอึดอัดมากมาย แต่เค้าจะใจดีมากกับทุกคน หนูค่อยๆ เปลี่ยนความรู้สึกเป็นเพื่อนกันซะดีกว่านะจ๊ะ เพื่อนน่ะ บางทีคบกันได้ยาวกว่าแฟนนะ

หญิง: พี่วิทยา ที่พี่พูดมาตรงๆๆๆ กับที่หนูเป็นมากเลย…เวลาที่อยู่กับหนูสองคน เค้าจะเกร็งมาก เกร็งจนหนูรู้สึกได้ เค้าสุภาพกับคนอื่นมาก พูดจาดีกับคนอื่นมาก…แต่จะร้ายใส่หนู เวลาจะใช้งานที…เค้าก็จะมาพูดดีใหม่…หนูสงสัยว่าเค้ายังไม่รู้ตัว

วิทยา: ที่บอกว่า เค้ายังไม่รู้ตัวน่ะ พี่ว่าไม่จริง…(หนูคูณห้าไปเลยนะคำว่าไม่จริงของพี่เนี่ย) เค้ารู้ตัวแล้วตะหาก เค้าถึงอึดอัด ไม่สบาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง เค้าเห็นหนูงเป็นนางซินนะ พยายามปรับตัวเสียใหม่ เป็นนางซินไม่สนุกนะหนูนะ ทางที่ดีถ้าอยากจะช่วยเค้า บอกเค้าไปเลยว่า ชั้นรู้แล้วว่า เธอชอบผู้ชาย ไม่ได้ชอบผู้หญิง เธอไม่ต้องมาปฏิเสธ ให้ชั้นเป็นเพื่อนเธอต่อไป ชั้นยินดี ทำได้มั๊ย ถ้าเค้าทำไม่ได้ พี่วิทยาขอแนะนำให้หนูปลีกตัวมาสักพัก ให้เค้ารู้สำนึกว่า มีเพื่อนดีๆ อยู่คนหนึ่งแล้วรักษาไม่ได้ ต่อให้เค้าเป็นคนเรียนเก่ง เป็นที่ชื่นชมของใครต่อใคร หรือจะไปเรียนต่อถึงดอกเตอร์ เค้าก็ต้องค้นหาตัวเองให้เจอ และยอมรับมัน โอมะ?

หญิง: แต่พี่ค่ะ เค้าเคยบอกว่า ชอบผู้หญิง เรียบร้อย อ่อนหวาน น่ารัก…เรียนเก่งเพอร์เฟคทุกอย่างล่ะค่ะ…แต่หนูได้แค่เรียนเก่ง…เลย ลองทำดีอ่ะค่ะ เผื่อเค้าจะเห็นใจ…แต่ฟังพี่พูดหนูก็ เคค่ะพี่ ไม่ทนเหมือนกันที่จะรองรับอารามณ์ ลืมบอกค่ะ เคยห่างมาพักหนึ่งแล้วมันก็ดึงหนูกลับมา ด้วยคำพูดดีๆๆหวานๆๆ

วิทยา: นั่นมันหญิงในจินตนาการ เค้าไม่ได้คิดจะหาใครจริงจังหรอก แค่พูดไปงั้นๆ หนูอย่าบ้าจี้สิจ๊ะ นี่แสดงว่ารักบังตามากๆ ทางที่ดี หยุดซะตรงนี้ ค่อยๆ ปรับอารมณ์ของเราให้มองเค้าเป็นแค่เพื่อน ไม่ใช่สามี และหยุดทำตัวเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของเค้าซะนะ ชีวิตหนูจะดีขึ้น และมีทิศทางที่ชัดเจน หนูจำไว้ว่า ไม่ใช่หนูคนเดียวที่ตกหลุมรักคนที่ไม่ใช่ คนที่ใช่ต่างหากคือตัวหนู ใช่ที่จะรู้และยอมรับว่า มันไม่ใช่

หญิง: ขอบคุณค่ะพี่ ตาสว่างวาบ เหอะๆ คิดแล้วเศร้า

วิทยา: ดีแล้ว เศร้าไป แต่อย่านาน สัญญานะ ห้ามนาน ยุติธรรมกับโลกใบนี้ด้วย มีคนรอคอยให้หนูช่วยเหลือพวกเค้าอยู่ สู้ๆ

…………………
วิทยา แสงอรุณ เป็นโปรดิวเซอร์และผู้จัดรายการ Bangkok Radio For Men (www.nationradio.co.th) และ รายการ Pink Mango ทางแมงโก้ทีวี (www.youtube.com/PinkMangoTV)

วัยรุ่นเกย์ฆ่าตัวตาย

พิเศษ


นสพ. กรุงเทพธุรกิจ หน้าม่านมายา 7 ต.ค. 2010 วิทยา แสงอรุณ
facebook.com/vitayas

สังคมอเมริกันกำลังสั่นสะเทือนด้วยเหตุวัยรุ่นเกย์ฆ่าตัวตายเป็นใบไม้ร่วง เดือนกันยายนเพียงเดือนเดียวตายไปแล้วสี่ เท่าที่มีการบันทึกไว้

สาเหตุหลักก็คือ ถูกเพื่อนล้อ กลั่นแกล้ง และข่มเหงไม่ว่าจะในรูปแบบคำพูดหรือการกระทำ

ด.ช. อัชเชอร์ บราวน์ จากรัฐเท็กซัส วัย 23 ยิงกบาลตัวเอง ผู้ปกครองบอก น้องโดนเพื่อนล้อว่าเป็นตุ๊ด เป็นแต๋วอยู่เป็นประจำจนในที่สุดหมดความอดทนขอลาโลกไป ที่รัฐอินเดียน่า ด.ช. บิลลี่ ลูคัส วัย 15 แขวนคอตายสมใจ ส่วนที่รัฐมินิโซต้า ด.ช. เซท วอล์ชต้องนอนแซ่วอยู่โรงพยาบาล 8 วัน และเสียชีวิตไปหลังพยายามแขวนคอตาย

และรายล่าสุดที่ทำให้ครู ผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่รัฐหันมาพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังก็คือ กรณีของ
นายไทเลอร์ คลิเมนติ นักศึกษาปีหนึ่ง เพิ่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐนิวเจอร์ซีย์ “รัทเกอร์ ยูนิเวอร์ซิตี้” ที่กระโดดสะพานตายหลังเครียดที่พบว่า เพื่อนร่วมห้องแอบเปิดเว็บแคมแล้วบันทึกวิดีโอขณะที่เขากำลังมีอะไรกับเพื่อนชายอีกคนในห้องนอน เพื่อนร่วมห้องเอาวิดีโอขึ้นเน็ต แล้วป่าวประกาศให้ชาวเน็ตแห่มาดูกัน

ไทเลอร์แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปได้อีก ความเครียด ความอาย และการที่เขายังไม่พร้อมจะบอกที่บ้านหรือใครๆ ว่า เป็นเกย์ทำให้ในคืนวันหนึ่ง เขาเอาโน้ตบุ๊ค และมือถือเดินไปที่สะพาน (สะพานขนาดใหญ่เหมือนสะพานพุทธ) โพสต์ข้อความอำลาบนเฟซบุ้คว่า
“กำลังจะโดดสะพาน ผมขอโทษ” แล้วเขาก็โดดลงไปจริงๆ อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจ้าหน้าที่ถึงจะพบศพของเขา

กรณีไทเลอร์สร้างกระแสแรงที่สุดในบรรดาผู้เสียชีวิต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ความตายของเขาเกี่ยวข้องกับชีวิตบนไซเบอร์สเปซ

นักวิชาการ นักสื่อสารมวลชน ต่างออกมาให้ความเห็นว่า การที่โลกไซเบอร์ ซึ่งตอนนี้มี Facebook มี Twitter มี Webcam ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ผู้คนแยกแยะความเป็นส่วนตัวกับความเป็นจริงไม่ออก โดยเฉพาะเยาวชนที่ยังขาดการยั้งคิด

เพื่อนร่วมห้องของไทเลอร์ และเพื่อนของหนุ่มคนนั้นซึ่งเป็นผู้หญิงเจ้าของคอมพ์ที่ใช้นั่งดูไทเลอร์กับผู้่ชายอีกคนมีเซ็กซ์กัน ตอนนี้โดนตั้งข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และมีสิทธิ์โดนจำคุกหลายปี แต่หลายฝ่ายเห็นว่า ทั้งสองทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ทำไปเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกที่จะป่าวประกาศให้ใครๆ มาดูคนสองคนมีเซ็กซ์กันทางออนไลน์
แต่เรื่องนี้มีประเด็นเรื่องการเป็นเกย์วัยรุ่นปนอยู่ด้วย ไม่ใช่เรื่องไซเบอร์สเปซแต่อย่างเดียว

จากการศึกษาพบว่า วัยรุ่นที่เป็นเกย์ เลสเบี้ยน กะเทย มีอัตราความเสี่ยงจะฆ่าตัวตายสูงกว่าวัยรุ่นชายหญิงทั่วไป เพราะความกดดันที่ต้องปกปิดตัวเอง คนที่ตัวเล็ก ดูอ่อนแอ หรือคนที่เกิดมาแล้วอ้อนแอ้น ดูเป็นหญิง มักจะเป็นเป้าให้โดนล้อเสมอ ซึ่งปกติ คนอ้วน คนผอม คนอ่อนแอ ก็มักโดนเพื่อนแกล้งอยู่แล้ว และหากเป็นเด็กโฮโมเซ็กช่วลด้วย ก็จะยิ่งโดนหนัก

ส่วนเกย์ที่ไม่ได้แสดงออก เป็นหนุ่มแข็งแรง หล่อเหลา หรือเป็นนักกีฬาโรงเรียนก็จะเอาตัวรอดได้ไม่ยาก นั่นคือ แอบไว้ให้สนิท ถ้าไม่สนิท ก็จะโดนแกล้งอย่างแน่นอน วิธีการอย่างหนึ่งที่จะ “เนียนๆ” หรือเรียกว่า “ตามน้ำ” เอาชีวิตรอดไป นั่นก็คือ ต้องหันไปร่วมแกล้งเด็กที่เป็นเกย์ตามเพื่อนด้วย เพื่อนแกล้ง กรูก็แกล้ง เตะ ต่อยซ้ำเข้าไปเพื่อแสดงว่า “กรูไม่เป็น”

ความตายของไทเลอร์ นักศึกษาปีหนึ่งซึ่งเป็นนักไวโอลินที่มีพรสวรรค์ทำให้คนดังทั้งเป็นเกย์ เลสเบี้ยนและไม่ใช่ ต่างออกมาแสดงความเห็นและเรียกร้องให้สังคมหันมาจริงจังกับเรื่องนี้ได้แล้ว

จริงๆ แล้ว การกลั่นแกล้ง ข่มเหง ดูถูกด้วยวาจาหรือการกระทำที่เรีกกว่า “bully” มีมานานแสนนานและมีหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือ ป้องกัน และเป็นที่พึ่งให้เด็กที่เจอปัญหาเหล่านี้ แต่คำถามก็ยังเกิดขึ้นว่า แล้วทำไมเด็กเหล่านี้ไปเข้าไปหาที่พึี่งเหล่านี้ล่ะ?

อย่าลืมนะครับว่า อเมริกาเป็นประเทศใหญ่ และเด็กหลายคนที่เป็นเกย์ เป็นเลสเบี้ยน ความช่วยเหลือไม่ได้มีทุกที่ คนที่มีความหลาดกลัวมีอยู่ และสำคัญกว่านั้น คือ ยอมรับตัวเองไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่ง เด็กเหล่านี้คิดว่า สิ่งที่เป็นเป็นสิ่งที่สังคมรังเกียจ ตั้งแง่ และมีปัญหาตามมาถ้าเขาจะเปิดเผยตัว สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้วัยรุ่นเหล่านี้ ไม่มีที่พึ่ง

กรณีของไทเลอร์ เขาหันไปพึ่งเว็บบอร์ดเกย์ โดยใช้ชื่อปลอม คนที่ได้อ่านข้อความที่เขาโพสต์ไว้จะพบว่า เขายังรู้สึกอยู่เลยว่า สิ่งที่เขาโดนกระทำ “มันไม่เป็นไรหรอก” เพราะเขาเป็นเกย์ อาการอย่างนี้เรียกว่า ยังเป็นคนที่มี “internalized homophobia” อยู่สูง

หมายความว่า มีคนที่เป็นเกย์ เป็นเลสเบี้ยนเองที่ไม่รู้สึก “เคารพตัวเอง” และยังเกลียดกลัวสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ พอโดนแกล้ง โดนกระทำ ก็ไม่ต่อสู้เรียกร้องอะไร ปล่อยๆ ไปเพราะคิดว่า สมควรแล้ว ชาตินี้เกิดมามีกรรมให้คนแกล้งซะ ซ้ำเติมตัวเองอยู่อย่างนั้น

การที่คนเป็นโฮโมเซ็กช่วลมีอาการ “internalized homophobia” สูงๆ เช่นนี้ ชีวิตของพวกเขาจะมีปัญหาอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น โดยเฉพาะการมีคู่ เพราะในที่สุด เวลาที่ปัญหากัน แม้เพียงเล็กน้อย คนเหล่านี้จะไม่มองให้ทะลุว่า จริงๆ แล้วปัญหามันอาจจะมาจากตัวเราเองที่ยังไม่ได้ แก้ปม “internalized homophobia” ของตัวเองนั่นเอง
จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า เรามักจะได้ยินเกย์ เลสเบี้ยน บ่นเสมอว่า หารักแท้ไม่เจอ จริงๆ แล้ว หลายคนยังหา “ตัวเอง” ไม่เจอต่างหาก

ล่าสุด เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นไม่ให้มีกรณีเกย์วัยรุ่นซึ่งน่าจะเติบโตเป็นกำลังของชาติบ้านเมืองที่ดีต้องฆ่าตัวตายเพิ่มอีก นักแสดง คนดังหลายคนเลยร่วมสนับสนุนโครงการที่ช่ื่อว่า “It’s get better” ไม่ว่าจะเป็นคนดังหรือคนทั่วไป ที่ตอนนี้โตแล้ว “รอดพ้น” จากวิกฤติชีวิตตอนเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัยแล้ว ต่างบันทึกวิดีโอแล้วส่งมารวมกันภายใต้โครงการนี้ พวกเขาเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เคยโดนแกล้งสมัยเด็ก คุณอาจจะเคยโดนมาบ้างหรือเคยทำกับคนอื่นมาบ้าง แวะไปศึกษากันครับที่ http://itgetsbetter.org

ตอนเด็กๆ ผมก็โดนแกล้งเหมือนกัน
………………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นโปรดิวเซอร์ และนักเขียนอิสระ ปัจจุบันผลิตรายการ Pink Mango ทาง Mango Channel ทุกคืนวันเสาร์ เวลาใหม่ ห้าทุ่ม http://www.facebook.com/vitayas และรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men FM102 วันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน

เกย์-กะเทย ในสื่อ-บอกอะไร?

พิเศษ

นสพ. กรุงเทพธุรกิจ หน้าม่านมายา เกย์-กะเทย ในสื่อ-บอกอะไร? 14 ก.ย. 2010 วิทยา แสงอรุณ

วันนี้มาชวน “ชำแหละสื่อกันครับคุณผู้อ่าน และในฐานะคนทำสื่อคนหนึ่ง การ “ชำแหละ” ครั้งนี้ ต้องบอกว่า สะใจไม่น้อย เพราะมีพันธมิตรที่เต็มใจมาร่วมวงกันชำแหละอย่างอบอุ่น

ศุกร์ที่ 24 กันยายนนี้ หลายหน่วยงานรวมตัวกัน จัดเสวนาเรื่องนี้ขึ้นโดยเฉพาะ คุณผู้อ่านกาปฏิทินไว้เลย จัดที่ห้องประชุม ดร. เทียม โชควัฒนา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เริ่ม 13.00 น. ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

น่าจะเรียกได้ว่า เป็นการจัดหัวข้อแนวนี้ครั้งแรกเลยก็ว่าได้ครับ ชื่อเสวนาคือ

“ตีตรา ตีตรวนตัวตนเกย์: การสร้างภาพเพศวิถีชายรักชายในสื่อไทย ปี 2552-2553”

ถ้าจะให้เจาะลึกกันทุกสื่อ และนำมาเสนอกันให้หมด คงต้องจัดข้ามวัน ทางคณะผู้จัดจึงตัดสินใจเลือกเจาะเฉพาะสื่อในช่องทางหลักๆ และผู้ชมอาจจะเคยพบเคยเห็น “การตีตราและการตีตรวน” อยู่บ้าง

งานนี้ผู้อภิปรายซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจะต้องค้นคว้า และนำตัวอย่างมาแสดงด้วย ผู้เข้าร่วมฟังเสวนาจะได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของการนำเสนอภาพลักษณ์และตัวตนของเกย์-กะเทย ในสื่อบ้านเราที่ผ่านออกมาในช่องทางของงาน ละครทีวี ภาพยนตร์ ดนตรี-มิวสิควิดีโอ และขาดไม่ได้เลยคือ สื่อโฆษณา

คุณจำได้ไหมว่า เมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว มีผลงานโฆษณาทางโทรทัศน์ชิ้นหนึ่งที่ดูแล้ว “ฮา” มาก แม้แต่คนเป็นเกย์ หรือเป็นกะเทย ยังอด “ฮา” ตามไม่ได้ เปิดเรื่อง สถานที่เกิดเหตุ: ห้องน้ำชาย กะเทยนางหนึ่ง (ซึ่งมีใบหน้า วิกผม และการแต่งหน้า ที่ไม่ต่างอะไรกับดาราตลกชายหน้าประหลาดๆ แล้วทำตัวอุบาทว์ๆ หน้าจอทีวี ) กะเทยเริ่มเข้าหาผู้ชายคนหนึ่งที่ดันไปอยู่ในห้องน้ำเวลาเดียวกัน นางถามขึ้นว่า “กี่โมงแล้วฮะ” พร้อมให้ท่าสุดฤทธิ์

ชายคนนั้นหันมามองแล้วตอบห้วนๆ “ไม่มีนาฬิกา” พลันกะเทยก็หยิบนาฬิกาขึ้นมาชูให้เห็น แล้วถามด้วยน้ำเสียงยั่วยวนอีกครั้ง “อยากได้มั๊ย”

ชายหนุ่มเดินเข้ามาหา คล้ายกับว่าจะมาคว้านาฬิกาไป แต่เปล่า “เปรี้ยง” เขาซัดหมัดหนักตรงเข้าไปยังใบหน้ากะเทยอย่างจัง วิกผมสีทองของหล่อนเปิดออก แล้วเสียงโฆษกก็พูดขึ้นว่า “อย่าเอาครับ…เพราะวันนี้ แว่นท็อปเจริญ ซื้อแว่นแถมนาฬิกาฟรี”

นี่เป็นงานโฆษณาชิ้นหนึ่งของเอเยนซี่โฆษณายักษ์ใหญ่ และชิ้นนี้ที่ทำให้ผมกับเพื่อนบางคน ขำไม่ออก คุณผู้อ่านอาจจะดูแล้ว บอกว่า ตลกดี บางคนก็อาจจะบอกว่า ก็สมแล้วนี่ เอานาฬิกาไปล่อผู้ชายถึงในห้องน้ำอย่างนั้น ก็น่าจะได้รับการตอบแทนอย่างนี้

จริงๆ แล้วเรื่องนี้ น่าสนใจมากๆ นะครับ เพราะไม่เพียงคุณผู้อ่านทั่วไปที่เป็นชายหญิงทั่วไป หลายคนทีเดียวที่บอกว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรกับโฆษณาชิ้นนี้ คนที่เป็นเพื่อนผมเองที่เป็นกะเทย และเป็นเกย์เอง อีกหลายคนก็บอกว่า ไม่เห็นเป็นไรเลย

จำได้ดีเลยล่ะครับว่า ตอนที่ ได้ยินอย่างนั้น “ของขึ้น” ครับ!

ถ้าเป็นต่างประเทศ โฆษณาชิ้นนี้จะต้องโดนประท้วงอย่างหนัก เพราะนำคนชายขอบ หรือบุคคลที่สังคมมีอคติทางเพศอยู่แล้ว มาทำให้เป็น “เหยื่อ” เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยที่ครีเอทีฟ เจ้าของผลิตภัณฑ์ กบว. ที่ดูแลโฆษณา นักแสดง และคนดู ต่างเห็นความตลกขบขันเป็นที่ตั้ง โดยไม่ได้ดูเนื้อแท้เลยว่า โฆษณาชิ้นนี้กำลังบอกอะไร

คนที่บอกว่า ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ สำหรับผมแล้ว คือคนที่ไม่มีจิตสำนึกเรื่องความแตกต่างหลากหลายของคนในสังคม กะเทย เกย์ เป็นบุคคลชั้นสองหรือชั้นสามที่จะสามารถหยิบยกมานำเสนอให้เป็นที่ตลกขบขัน และเป็นเหยื่อได้ โดยที่คนในสังคมส่วนใหญ่จะ “ไม่ว่าอะไร”

ลองตั้งคำถามง่ายๆ สิครับว่า ถ้าไม่เอากะเทยมาในห้องน้ำ แล้วจะเอาใครมาทำตลกดี? มันง่ายแสนง่ายทีี่ครีเอทีฟจะหยิบยกเอากะเทยมาเล่นสนุก และทำเป็นตัวตลก ใช่มั๊ย?

องค์กรอาสาสมัครแห่งหนึ่ง (บางกอกเรนโบว์) ได้ชักชวนให้คนเป็นเกย์ เป็นเกะเทย และภาคีสมาชิกร่วมกันประท้วงไม่ใช้สินค้าและบริการของห้างนี้ สิ่งที่เจ้าของโฆษณาทำก็คือ ให้เอเยนซี่โฆษณาเขียนจดหมายมาชี้แจง

คุณผู้อ่านคงไม่ทราบว่า จดหมายฉบับนั้น เขียนได้ “ห่วยแตก” มากมาย พอดีได้อ่านครับ คนเขียน อ้างเรื่องข้างๆ คูๆ แล้วพยายามปัดความรับผิดชอบ แม้กระดาษ หัวจดหมายยังไม่มีตรา หรือที่อยู่ของเอเยนซี่เลย และไม่มีเสียงใดๆ จากผู้บริหารผลิตภัณฑ์มาพูดถึงเรื่องนี้

แล้วเรื่องก็ค่อยๆ ….เงียบไป

นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ จะห้าปีแล้ว ปกติผมไม่ได้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนะครับคุณ แต่เวลาเดินผ่านร้านสาขาแว่นท็อปเจริญที่ไหนทีไร อดไม่ได้ที่จะนึกถึงโฆษณาชิ้นนั้้น ภาพกะเทยหน้าตาประหลาดโดนตั๊นหน้าเข้าให้ในห้องน้ำ วิกผมกระจุย

ผมจำสโลแกนอะไรไม่ได้ ผมจำไม่ได้ว่า นักแสดงที่เป็นผู้ชายต่อยกะเทย หน้าตาเป็นยังไง แต่ภาพของกะเทยหน้าประหลาดคนนั้น ผมจำได้แม่น มันเป็นภาพสโลว์โมชั่นตลอดที่เกิดขึ้นในหัว เวลาเห็นแบรนด์ “ท็อปเจริญ” และความรู้สึก “แย่ๆ” ก็เกิดตามมา นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ

แต่มันคือผลของพลังสื่อ พลังโฆษณา และจะมีพลังของเพลง หนัง มิวสิควิดีโอ ละครทีวี ลองไปฟังการเสวนาครั้งนี้ดูนะครับ นำเสนอบนเวทีโดย อ.อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ ภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ สัณห์ชัย โชติรสเศรณี ผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิหนังไทย ศรุพงษ์ สุดประเสริฐ Columnist คอลัมน์ Soho หนังสือพิมพ์ The Nation และฝ่าย Music บริษัทลักษ์เรดิโอ จำกัด อรรถสิทธิ์ เหมือนมาตย์ นิตยสาร Positioning, Media Specialist บริษัท ไทยเดย์ดอทคอม จำกัด 13.00-16.00 สอบถามรายละเอียด 02-752-6697 (บริษัทไซเบอร์ฟิช มีเดีย จำกัด) ฟังฟรีครับ

………………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นโปรดิวเซอร์ และนักเขียนอิสระ ปัจจุบันผลิตรายการ Pink Mango ทาง Mango Channel ทุกคืนวันเสาร์ ห้าทุ่มครึ่ง http://www.facebook.com/vitayas และรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men FM102 วันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน

เวลาเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน?

พิเศษ

นสพ. กรุงเทพธุรกิจ หน้าม่านมายา
วิทยา แสงอรุณ 1 กันยายน 2553

ความล้าหลัง หรือก้าวหน้าในประเด็นที่เกี่ยวกับเกย์ และเลสเบี้ยนในบ้านเมืองไหนๆ เราสามารถตรวจวัดจับชีพจรกันได้โดยดูจากการนำเสนอในสื่อมวลชน

ที่บ้านเขา

ข่าวสำคัญหน้าบันเทิงชิ้นหนึ่งเร็วๆ นี้ ก็คือ นักแสดงซีรีย์ทางทีวีชื่อดังคนหนึ่ง คุณพอร์เทีย เดอ รอสซี ยื่นคำร้องต่อศาลขอเปลี่ยนนามสกุลเป็น “ดีเจเนอเรส” ซึ่งเป็นนามสกุลของคุณเอลเลน ดีเจนเนอเรส พิธีกรสาวชื่อดัง

ทั้งสองสาวแต่งงานกันเมื่อเดือนสิงหาคม สองปีที่แล้ว

ทั่วโลกรู้จักเอลเลนดีเพราะตอนนี้เธอขึ้นแท่น “หญิงรักหญิงที่โด่งดังที่สุดในวงการบันเทิง” ถ้าคุณพอจะจำได้ คุณเอลเลน “เลิกแอบ” ว่า ตนเป็นหญิงรักหญิงผ่านตัวละครที่เธอนำแสดงในซิทคอมที่ใช้ชื่อเดียวกันกับชื่อจริงของเธอ นับว่าเป็นการ “เปิดเผยตัว” ที่เก๋ เท่ไม่เบา เมื่อหลายปีที่แล้ว เพราะแทนที่จะรับรู้กันแค่ญาติสนิท มิตรสหาย แต่วิธีการของเธอ เปิดทั้งทีต้องให้กระหึ่มสามมิติ!

ต่อมาซิทคอมของเธอเรตติ้งเริ่มแป้ก ผู้คนต่างพากันสมน้ำหน้าเธอที่อยู่ดีไม่ว่าดี พูด “ความจริง” ออกไปทำไม? ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายบนเส้นทางอาชีพชัดๆ แต่ทีมผู้จัดซิทคอมยันว่า ละครเร่ื่องเอลเลนออกอากาศมามานานแล้ว เรตติ้งเริ่มตกลงไป ก็เป็นสามัญ อย่าไปตกอกตกใจหรือโยงใยเรื่องที่เธอ “พูดความจริง”

คุณเอลเลนหายตัวไปพักใหญ่จากวงการจอแก้ว แต่แล้ว เธอก็กลับมาอีกครั้งพร้อมรายการทอล์คโชว์ของตัวเองในชื่อเอลเลนอีก คราวนี้จะเอาอะไรมาฉุดก็หยุดเธอไม่ได้ รายการของเธอเป็นที่ถูกอกถูกใจคุณผู้ชมทั้งหลายทั้งชาย หญิง และเก้งกวาง

คนดูไม่ได้มองเธอว่าเป็นหญิงรักหญิงกำลังจัดรายการสำหรับหญิงรักหญิง แต่มองเธอว่าเป็นพิธีกรหญิงระดับแถวหน้ามากฝีมือของประเทศที่ทำรายการได้ถูกอกถูกใจผู้ชม (search keywords คำนี้ใน YouTube ของคุณ: ellen degeneres show 2010)

ส่วนคุณพอร์เทีย คู่สมรสของเธอให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตอนเริ่มดูใจและจีบกันใหม่ๆ เธอก็กลัว กลั๊วกลัวเอามากๆ ว่า คนจะรู้ว่าเธอเป็นหญิงใจรักหญิง แถมช่วงนั้นยังรับงานละครอยู่ด้วย ไม่รู้ผู้จัดและ
สปอนเซอร์จะว่าไง
เธอออกมาให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า ตอนนั้นรู้สึกเกร็งและอึดอัดมากที่เริ่มรักกับอัลเลนแต่ต้องซ่อนความจริงข้อนี้ ไม่ให้ใครๆ รู้

ที่บ้านเรา

ข่าวใหญ่เร็วๆ นี้ที่ได้รับการตีพิมพ์ไล่เลี่ยกันกับข่าวของพอร์เทีย-เอเลน ก็คือข่าวของ “ป๋า” ป๋าต็อบ-ปีใหม่ หลังจากประกาศใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน และฮันนี่มูน กันไม่ทันไร ก็มีข่าวเลิกรากันเสียแล้ว (และอีกไม่นานก็มีข่าวกลับมาคืนดีกัน)

ตอนประกาศเลิกกัน หนังสือพิมพ์บางฉบับพาดหัวข่าวว่า “ฉิ่งแตก ป๋าต๊อบเลิกปีใหม่แล้ว” ก่อนหน้านี้ก็มีคำ เรียกคู่รักต่างวัยนี้ว่า “คู่รักฉิ่งฉับ”

ความชัดเจนของ “ป๋าต๊อบ” มีอยู่แล้ว เพราะเธอแสดงออกและยอมรับว่า เป็น “ทอม” และเป็นทอมที่มีความเป็นสุภาพบุรุษสูง ไม่ออกมาด่าคู่รักของเธอเสียๆ หายๆ

สังคมส่วนใหญ่เคยชินกับภาพ การกระทำ และความคิดของคุณต๊อบ เพราะเธอเป็นทอมที่ไม่ได้ท้าทายใคร ไม่ได้ท้าทายสังคม ไม่ได้ทำคน “กลัว” และรู้สึกอยากต่อต้าน ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เธอได้รับการยอมรับ แต่เราก็ต้องยอมรับด้วยว่า ที่สำคัญส่วนหนึ่งก็คือ เธอมีภาพลักษณ์เป็นมิตรกับทุกๆ คน

ส่วนน้องปีใหม่วัยอ่อนกว่าหลายปี ด้วยวััยที่ห่างกันมากและไม่มีตัวชี้วัดใดๆ จะมาบ่งบอกว่า เธอเป็นหญิงรักหญิงของแท้ ผู้คนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ที่เธอเดินควงป๋าต๊อบปริญญาซึ่งแก่กว่าเธอมากมาย และยอมประกาศจะอยู่กินฉันท์สามีภรรยากันด้วย เพราะเธอมีความสุขกับอย่างอื่นมากกว่าตัวป๋าต๊อบ จริงหรือไม่ เรื่องนี้ยังเป็นข้อกังขาแก่สายตาสาธารณชนอยู่?

แต่ลึกๆ แล้ว สังคมก็ยังมองความรักของทั้งคู่ด้วยสายตาที่แปลกๆ เพราะไม่เชื่อว่า คนเพศเดียวกันจะรักกันได้ และจะมีรักแท้ให้แก่กัน (คงต้องแสดงตัวกันบ่อยๆ นะ คู่รัก)

คนที่อ่านข่าวสองข่าวนี้ ทั้งข่าวบ้านเขา และข่าวบ้านเรา อาจจะบอกได้ว่า ที่นักข่าวหรือคนพาดหัวข่าวนำเสนอเรื่องราวของเอลเลนและพอร์เทียแบบเบาๆ ก็เพราะเนื้อเรื่อง “มันเบาๆ” ก็นี่แค่เรื่องขอเปลี่ยนนามสกุล ก็เท่านั้น

แต่ข่าวของป๋าต๊อบ มีมูลค่า “ความน่าสนใจ” สูงกว่าเพราะเป็นคนดังที่เป็นข่าวมาตลอด แสดงภาพรักดูดดื่มกันตลอด แต่สุดท้ายไปไม่รอด

การเลือกใช้คำอย่าง “ฉิ่งฉับ” หรือ “ตีฉิ่ง” สะท้อนให้เห็นถึง อคติทางเพศของผู้เขียน และความไม่ “สมประกอบ” ของผู้ทำงานในสื่อสารมวลชนที่ไม่ก้าวไปให้ทันโลกอย่างเห็นได้ชัด สื่อที่ไม่ทำตัวเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ยังคง “เกาะกระแส” ความรู้สึกลบๆ ในใจคนอยู่่ร่ำไป โดยคิดเหมาเอาเองว่า คำว่า ฉิ่งฉับหรือตีฉิ่งเป็นคำที่ยอมรับกันได้ทุกเพศ ทุกวัย และทุกเบื้องหลังการศึกษา

ผมอยากจะเห็นข่าวแบบนี้มากกว่า อีกข่าวหนึ่ง

“สองดาราหนุ่ม ประกาศได้ลูกแฝดจากการอุ้มบุญ”

และในเนื้อเรื่องของข่าว ก็ไม่ได้พุ่งเป้าสนใจไปตั้งคำถามที่ว่า ไอ้สองคนนี้ มันรักกัน อยู่ด้วยกันได้ยังไง (วะ)? แต่พูดถึงการเตรียมตัวเป็นพ่อคนของทั้งสองคนที่กำลังจะมีลูกแฝด ที่ยกมานี้เป็นข่าวที่เกิดขึ้นจริง และหน้าบันเทิงบ้านเขา ก็ไม่ได้มีการใส่สีสันหรือใช้คำ ที่หากแปลเป็นไทยในการพาดหัวเรื่องนี้ในแบบบ้านเรา ก็คือ

“คู่รักป่าเดียวกัน กำลังจะได้ลูกแฝด”

ผมคิดว่า สื่อมวลชนไม่ต้องอ้างไปว่า คำเหล่านี้ หรือวิธีคิดแบบนี้ (ในแง่ลบ) เป็นภาพสะท้อนของสังคมในยุคปัจจุบัน เลยต้องพาดหัวหรือเขียนตามๆ เพื่อดึงสายตา และความสนใจของคนอ่าน

ก็ในเมื่อสังคม มีอคติทางเพศอยู่แล้ว หน้าที่ของสื่อที่ดีไม่ควรไปตอกย้ำ หรือทำร้ายเพิ่มเติมขึ้นไปอีก แต่ควรเสนอทางเลือกใหม่ๆ ให้ประชาชนได้คิด และได้ให้ประชาชนสามารถลดอคติทางเพศลง นี่แหละการศึกษาเรื่องเพศที่เกี่ยวกับทุกคนอย่างสร้างสรรค์

………………………………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นโปรดิวเซอร์ และนักเขียนอิสระ ปัจจุบันผลิตรายการ Pink Mango ทาง Mango Channel ทุกคืนวันเสาร์ ห้าทุ่มครึ่ง http://www.facebook.com/vitayas และรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men FM102 วันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน

เกย์+เลสฯ ใช้ Facebook, Twitter, Blogs, etc. มากกว่าช.ญ.ทั่วไป

พิเศษ

นสพ. กรุงเทพธุรกิจ หน้าม่านมายา เกย์+เลสฯ ใช้ Facebook, Twitter, Blogs, etc. มากกว่าช.ญ.ทั่วไป

เป็นผลสำรวจที่อเมริกาล่าสุด ทำมาแล้วหลายปีโดยบริษัทวิจัยชื่อดัง Harris Interactive ซึ่งผมคิดว่า ไม่น่าจะแตกต่างจากที่อื่นๆ เท่าไหร่ ยกเว้นประเทศไทยที่น่าจะมีมาก มาก มากกว่าหลายเท่า! ครับ ที่พูดนี่เดาเอาเองน่ะครับจากประสบการณ์ เพราะวันๆ ทำงานด้านนี้ ก็เจอแต่เกย์บนเฟซบุ๊ค

ในปีนี้ แฮร์ริสสำรวจคนทางอินเตอร์เน็ตจำนวน 2,412 คน อายุ 18 ขึ่้นไปที่ใช้เน็ตเป็นประจำ เริ่มสำรวจกันวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยร่วมกับสำนักตักศิลาแห่งตลาดเกย์ อย่าง Witeck-Combs Communications, Inc.

ต่อไปนี้จะเรียกเกย์และเลสเบี้ยนว่า GL นะครับ ส่วนชายหญิงทั่วไปจะใช้คำว่า Straights

ถอยไปในปี 2006 GL อ่านบล็อคราว 32% เทียบกับ Straights 26% แต่ในปีนี้ GL อ่านบล็อคเพิ่มเป็น 54% ขณะที่ Straights อ่านเพิ่มเป็น 40% และในทุกๆ ปีที่มีการสำรวจ โดยเฉลี่ยแล้ว GL จะอ่านบล็อคมากกว่า Straights ตัวเลขก็เพิ่มขึ้นในทั้งสองกลุ่มนะครับ แต่กลุ่ม GL จะเพิ่มสูงกว่าอยู่เสมอ และยิ่งเป็นบล็อคเกี่ยวกับพวกเค้าโดยตรง ก็จะอ่านมากและให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ตรงนี้เอง มีการคาดเดากันว่า เพราะข่าวสารส่วนใหญ่ในกระแสหลัก ไม่ค่อยนำเสนอเรื่องของ GL อย่างหลากหลาย เว็บหรือบล็อคที่เกี่ยวกับ GL จึงเป็นที่นิยม และอ่านกันมาก ขณะที่เมื่อเทียบกับความสนใจด้านข่าวสารบ้านเมือง ยิ่งเป็นช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว กลุ่ม GL ก็สนใจข่าวสารพวกนี้เช่นเดียวกัน และจากผลสำรวจพบว่า กลุ่ม GL เข้าหาข่าวสารเรื่องบ้านเมืองสูงกว่า Straights อยู่หลายเปอร์เซ็นต์ทีเดียว โดยอ่านผ่านบล็อคและสื่อออนไลน์ต่างๆ

มาดู Social Network ในส่วนอื่นๆ บ้างนะครับ พบว่า บน Twitter มีกลุ่ม GL สนใจใช้อยู่ล้นหลาม และใช้บ่อยกว่าอีกต่างหากทั้งต่อสัปดาห์ และต่อวัน

29% ของกลุ่ม GL ใช้ Twitter ขณะที่ 15% ของกลุ่ม Straight ใช้เจ้านกสื่อสารชนิดนี้ ส่วนบน Facebook พบว่า ตัวเลขคือ 73% ในกลุ่มสำรวจที่เป็น GL ใช้ Facebook ขณะที่ 65% ของกลุ่มที่สำรวจใช้ Facebook

ส่วนบน Myspace และโซเชียลเว็บเพื่อธุรกิจอย่าง LinkedIn ก็มีผู้ใช้เป็น GL มากกว่า Straight ผลสำรวจว่าอย่างนั้น

ในด้านความบ่อยและความถี่ ก็สูงกว่าเช่นกัน บริษัททั้งสองพบว่า จาก 100 คน ในกลุ่ม GL มีเกินกว่าครึ่งคือ 55 คนบอกว่าแวะเข้าเว็บที่เป็น Social Network อย่างน้อย 1 ครั้งใน 1 วัน ส่วน 100 คนของกลุ่ม Straight จะมี 41 คนบอกว่าแวะอย่างน้อย 1 ครั้งในหนึ่งวัน

ยังมีประชากรกลุ่ม “แวะประจำ” ด้วยนะครับ ในกลุ่ม GL นั้น 3 ใน 10 คนบอกว่า ในวันหนึ่ง จะแวะไปหลายหน ซึ่งผมก็ขอสารภาพว่า ผมอยู่ในกลุ่มนี้แน่นอน ยิ่่งช่วงหลังกๆ มักจะบ่อยและถี่ โดยตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่า วันๆ แวะไปหน้าเฟซบุ๊คตัวเองกี่หน เรียกได้ว่า ถ้าไม่อ่านผ่านมือถือก็แวะไปดูว่า มีใครมาโพสต์อะไรในหน้า Wall ของเราบ้าง จะได้โต้ตอบได้ทันใจไงคุณ

คุณผู้อ่านที่สนใจผลสำรวจชิ้นนี้ ดูได้ที่ http://www.harrisinteractive.com/ หัวข้อคือ Gay and Lesbian Adults Are More Likely and More Frequent Blog Readers: Social Networks, Blog Popularity Remain High for Gay Americans over Past Three Years

แล้วทำไม GL ถึงเป็นนักท่องเว็บ และใช้เว็บอย่าง Social Network กันเยอะ?

มีหลายคนมองจากหลายมุมครับ บ้างก็ว่า เพราะคนกลุ่มนี้มีเวลาเยอะกว่าไง ขณะที่กลุ่ม Straight ที่มักจะมีครอบครัว ก็จะอุทิศเวลาสร้างครอบครัว กลุ่ม GL ที่มีแฟนและมีโอกาสในการสร้างครอบครัวน้อยกว่า อาจเพราะขาดการสนับสนุนจากสังคมโดยรวม เลยใช้เวลาทำสิ่งที่สนุกสนานอย่างท่องไปใน Social Network

ในมุมมองหนึ่งก็คือ ข้อจำกัดในสังคมส่วนรวมที่ทำให้ GL หลายคน ไม่กล้าจะเป็นตัวของตัวเอง จึงหันไปพึ่งเว็บ และต้องการจะสื่อสารติดต่อกับคนกลุ่มเดียวกัน ข่าวสารข้อมูลที่สื่อกระแสหลักมี ก็ไม่ได้ตรงกับความต้องการ เรียกว่า อยู่บนเว็บแล้วสบายใจ เป็นตัวของตัวเองได้ คุณเลยไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมถึงมี GL อยู่เยอะบนเว็บต่างๆ

ช่วงปีสองปีนี้แหละครับ การที่สังคมใจกว้างมากขึ้น การแต่งงานของคนเพศเดียวกันมีให้เห็นในข่าวบ่อยขึ้น อีกทั้งคนไทยเริ่มรู้ข้อเท็จจริงมากขึ้น นักการตลาดจะบอกว่า “ไม่รู้ว่าจะหาคอนซูเมอร์ที่เป็นเกย์และเลสเบี้ยนที่ไหน” ก็ไม่ได้อีกแล้ว เพราะตอนนี้มีเว็บมากมายที่เกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ และยิ่งใน Facebook คุณจะเห็นการจัดตั้ง Group หรือ Fan Page โดยกลุ่ม GL มากมาย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่กด Search หาดู

ผมเชื่อว่า ถ้าจะนับ GL ในประเทศไทย วิธีการหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ นับด้วยโทรศัพท์มือถือ อาจจะไม่ตรงมาก เพราะบางคนใช้หลายเบอร์ แต่ก็น่านับอยู่นะครับ

ถ้าคุณต้องการคำนวณแบบคร่าวๆ ว่า มีลูกค้าของคุณเป็น GL แค่ไหน ก็ลองใช้ตัวเลข 7 หรือ 10 ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการณ์ในการตลาดเกย์ที่ใช้ในต่างประเทศมาคูณเข้าไป ก็จะได้ผลออกมา เช่น AIS มีลูกค้าในระบบอยู่ประมาณ 30 ล้านคน ถ้าคูณ 10% บริษัทนี้ก็มีลูกค้ากลุ่ม GL ราว 3 ล้านคน ขณะที่ Dtac น่าจะมีลูกค้า GL อยู่ 2 ล้านคน ห้าล้านแล้วนะคุณ
……………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นโปรดิวเซอร์และนักเขียนอิสระ บริษัทไซเบอร์ฟิช มีเดีย ปัจจุบันผลิตรายการ Pink Mango ทาง Mango Channel ทุกคืนวันเสาร์ ห้าทุ่มครึ่ง http://www.facebook.com/vitayas และรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men FM102 วันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน

Professional Gay Networking

พิเศษ


นสพ. กรุงเทพธุรกิจ หน้าม่านมายา Professional Gay Networking 3 ส.ค. 2010 วิทยา แสงอรุณ

จำนวนคนใช้ Facebook ทะลุไปแล้ว 500 ล้านคน และจำนวนเพื่อนที่คุณ “Add” มา หรือคุณขอแอดเค้าไปก็พุ่งพรวดๆ แทบทุกวัน

บางคนรับเพื่อนใหม่ไม่ได้อีกต่อไปแล้วตอนนี้ เพราะจำนวนเพื่อนที่รับมาก่อนหน้านี้ ตัวเลขพุ่งปรี๊ดไปเกือบ 5,000 คน ซึ่งเต็มพิกัดที่เฟซบุคตั้งไว้ พอคุณกด request ขอแอดไป ระบบก็จะตอบกลับมาว่า นายคนนี้เพื่อนเต็ม รมย์เสียเลย…หล่อนะนั่นน่ะ หลายคนด้วย….

อ้ะ แต่ถามจริงๆ เถอะคุณ คุณสามารถคุยกับเพื่อนได้ซัก 10% จาก 5 พันมั๊ยต่อวัน? คงมีน้อยมากนะที่ทำได้
แต่คุณก็แอบหวังว่า คนทั้งห้าพันจะได้เห็นสิ่งที่คุณโพสต์เก๋ๆ ไว้ในวันนั้น และตอบอะไรกลับมาบ้าง ซึ่งก็…ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเพื่อนคนอื่นๆ ของเพื่อนคุณอีกหลายพันคนก็โพสต์บางสิ่งบางอย่างที่เก๋ๆ เหมือนกันในแต่ละวัน โพสต์กระหน่ำกันเข้าไป

ท้ายสุด เอาเข้าจริง คุณก็คุยกับคนเดิมๆ นั่นแหละในแต่ละวัน เพราะคนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีเรื่องคุยที่คุณต้องการจะคุย ก็ได้แต่ทักกันไป ทักกันมา เผลอๆ อดถามตัวเองไม่ได้ว่า นี่ชั้นแอดหมอนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่?

ในมุมมองนี้ Facebook จึงไม่ต่างอะไรจากสนามเด็กเล่น และคุณก็มีเพื่อนวิ่งเล่นเป็นประจำอยู่จำนวนหนึ่ง หรือไม่ก็เหมือนสถานที่ผ่อนความตึงเครียด ด้วยการรีบตื่นเช้าๆ หรือกลับบ้านเร็วๆ เพื่อไปเก็บผัก บางทีก็ต้องคอยขอก้อนอิฐจากชาวบ้าน เพราะติดใจเกมอย่างฟาร์มวิลล์ ซึ่งต้องบอกว่ายังมีคนเล่นอยู่เยอะ และอีกเยอะก็เลิกคลั่งไปแล้ว

งั้นมาลองคิดกันใหม่ สมมุติว่า ถ้าคุณมีเพื่อนร่วมอาชีพหรืออยู่ในสายงานอาชีพคล้ายๆ คุณ สัก 10 หรือ 20 คนที่มีความสนใจใกล้เคียงกันกับคุณ แทบทุกคนมี “profile” และประสบการณ์ทำงานมานาน เป็น “Expert” ในจุดนั้นๆ และพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน

มันจะเป็นเรื่องน่าสนุกได้บ้างมั๊ย?

“LinkedIn” (อ่าน ลิ้ง-ธึ-อิน มาจาก Linked+ In) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนทำงาน และต้องการจะสร้าง
คอนเนคชั่นกับคนที่ทำงานใกล้เคียงกันในด้านธุรกิจ หาโอกาสในการค้าขาย หางาน และ ประกาศรับสมัครงาน

การทำงานของ LinkedIn ก็คล้ายๆ กับ Facebook แหละครับ แอดเพื่อนได้ รับแอดได้ แถมยัง “follow” หรือ ตามคนใน LinkedIn ได้คล้ายๆ ฟังก์ชั่นของ Twitter

ผมไม่ได้จะเอา Facebook หรือ Twitter มาเปรียบเทียบกับ Social Network ตัวนี้ แล้วบอกว่า มันดีเด่นกว่ายังไงนะครับคุณผู้อ่าน แต่จะบอกว่า สำหรับคนทำงานที่ต้องการขยายมุมมองใหม่ๆ มีคนที่คุณพูดคุยเรื่องงานโดยเฉพาะ ไม่ต้องอ่านเจอคนโพสต์เรื่องบ่นๆ ไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ เหมือนจะเรียกร้องความสนใจ อยากได้คนมาโอ๋ และตัดเรื่องบนเตียงไปได้เลย

LinkedIn จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่คุณควรสมัครเอาไว้

ผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังไม่กระจายมาทางเอเชียเท่าไหร่ น่าจะเกิน 50% เป็นคนอเมริกันที่อยู่ในอเมริกา และน่าสนใจมากก็คือ มี Groups ให้สมัครเยอะแยะมากมายเลยครับ และการโพสต์ข้อความก็ไม่ยาก

จริงๆ ใน Facebook ก็มีกระดานบอร์ดให้โพสต์แลกเปลี่ยนความเห็นเหมือนกันนะครับ เป็นปุ่มที่เรียกว่า Discussions แต่น่าแปลก ไม่ค่อยมีคนโพสต์หรืออ่านอะไร ทำอะไรในนี้เท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ไปโพสต์ไว้หน้าแรก บางครั้งก็ยากจะอ่านตามให้หมด มันไหลยาวไปหลายหน้า

สำหรับผม Facebook เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้พูดคุยกันแลกเปลี่ยนความเห็น ที่เป็นการสื่อสารแบบ one-on-one คือ ระหว่างเพื่อนกับเจ้าของเฟซบุ๊คนั่นแหละเสียส่วนใหญ่

กลับมาที่ LinkedIn สมัครตามขั้นตอนของ LinkedIn ไปแล้ว ก็ลองมองดูตรงช่อง Search นะครับ มีการแบ่งหัวข้อให้ คุณ Search เช่น หางาน (Jobs) หาคน (People) หาคำตอบ (Answers) หรือกระทั่งหาบริษัท (Companies) เลือกตามต้องการ

ผมเริ่มต้นที่กรุ๊ปก่อน เพราะบางทีนะครับคุณผู้อ่าน ก็รู้สึกเหงาๆ เหมือนกัน รู้สึกบางทีเหมือนโดดเดี่ยวตัวคนเดียว เพื่อนคุยเล่นมีเยอะแยะมากมายครับ แต่เพื่อนคุยเรื่องงานไม่ค่อยจะมีน่ะครับ และนี่แหละ ก็คงได้เวลาหาเพื่อนนอกประเทศไว้คุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องงานบ้าง

ผมลองสมัครไปสามสี่กรุ๊ป ก็มี GLBT Professionals and Friends (คำ GLBT ย่อมาจาก gay, lesbian, bisexual, and transgender); Gay Professional Network; Gay & Lesbian Travel Forum; Out Professional และอันนี้ตั้งชื่อได้โดนใจมากๆ ครับ Gay Digital Media Mafia บางกลุ่มก็มีคนหลายร้อย บางกลุ่มก็มีคนไม่กี่สิบคน

อาสิครับ ไม่แน่ใจว่าจะยังไงต่อไป เค้าจะรับเรามั๊ย ผมก็เลยส่งข้อความไปที่คนดูแลกรุ๊ป ซึ่งจะมีชื่อให้กดส่งข้อความได้ บรรเลงเลยว่า ผมเป็นเกย์อยู่เมืองไทย ทำงานด้านมีเดีย แล้วก็อยากเข้ากลุ่มของคุณ รับผมหน่อย

คุณครับ เวลาคงจะตรงกัน อีกฝ่ายคงว่างอยู่ ผมได้รับเมลมาจากหัวหน้ากรุ๊ปเลยภายในไม่กี่นาที ตอนแรกนึกว่าเป็นพวก auto reply mail แต่จริงๆ เป็นเมลที่เค้าเขียนเองนะครับ เลยโต้ตอบเมลไปสองสามฉบับ สนุกมากครับได้คุยกับคนเก่งๆ

ลึกๆ แล้ว ก็อยากให้มีกลุ่ม Gay Professionals ของไทยมานั่งล้อมวงคุยกันนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานออฟฟิศ หรือคนที่เปิดกิจการตัวเอง หรือคนที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ นี่ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งของความหลากหลาย

คุณผู้อ่านที่เป็นชายหญิงทั่วไป ลองสมัคร LinkedIn ดูสิครับ งานของคุณ มุมมองของคุณอาจจะเปลี่ยนไป และไม่แน่นะครับ อาจจะได้ไอเดียเก๋ มาทำให้งานของคุณ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ไปโลด เหมือนได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือผู้บริหารที่เข้าถึงตัวได้ง่าย คล้ายๆ ได้รู้ว่าเฮียฮ้อ-อาร์เอสรู้สึกยังไงบนทวิตเตอร์

………………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นโปรดิวเซอร์ และนักเขียนอิสระ ปัจจุบันผลิตรายการ Pink Mango ทาง Mango Channel ทุกคืนวันเสาร์ ห้าทุ่มครึ่ง http://www.facebook.com/vitayas และรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men FM102 วันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน

พวกเขาคือ เกย์ “นอกกระแส”

พิเศษ

หน้าม่านมายา พวกเขาคือ เกย์ “นอกกระแส” 20 ก.ค. 2010 วิทยา แสงอรุณ

เดินตามห้าง เข้าฟิตเนส ไปเสม็ด (โดยเฉพาะวันหยุดยาว) ไปโรงหนัง เล่นเฟซบุค ฯ แหมคุณ เดี๋ยวนี้เจอแต่เกย์เต็มไปหมด คุณผู้อ่านคงถามอย่างนั้น เอ่อ คุณครับ นั่นน่ะยังน้อยไป มีอีกเยอะที่คุณ “มองไม่เห็น” และผมก้อ “มองไม่เห็น”

อ้าว ก็ไหนว่า “ผีเห็นผี” ไง แล้วไหงผมมองไม่เห็น? เจอคำถามแบบนี้เข้าให้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมจะตอบแบบสุภาพๆ ว่า ผีตาถั่วก็มี แต่ตอนนี้ ผมขอตอบแบบอย่าได้แคร์ว่า “ผีขั้นเทพน่ะคุณ” ไม่มีทางรู้ ไม่มีทางดู ยังไงๆ ก็ไม่เห็น!

ฟังเรื่องนี้ก่อน

น้องช. อายุยี่สิบปลายๆ รู้ตัวมานานแล้วว่าชอบผู้ชายเหมือนกัน ไม่ได้รังเกียจตัวเอง ไม่ได้มองตัวเองในแง่ลบ แต่น้องช. ก็ไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกลึกๆ เช่นนี้ให้ใครฟัง ยกเว้น

วันหนึ่งน้องช. ได้รับรู้มาว่า มีซาวน่าแห่งหนึ่งใกล้ๆ บ้าน ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยไปนุ่งผ้าขนหนู แล้วเดินตามหาใครๆ ไปในที่มืดๆ เลยซักครั้ง แต่ด้วยความอยากรู้ และความเหงาเกินบรรยาย น้องช. ต้องศึกษาหาองค์ความรู้ จึงพาตัวเองไปเดินเล่นในสถานที่ส่วนตัวแห่งนั้น หัวใจตุ๊มๆ ต่อมๆ

เดินไปเดินมา คงเป็นคราวซวย น้องช. ดันไปเหยียบ (ขออภัยนะครับ ไม่ตั้งใจหยาบคาย หรือรู้สึกแหวะ แต่ถ้าคุณจะแหวะ รออีกนิด) ดันไปเหยียบของเหลวที่ถูกทิ้งไว้บนพื้น เขาตกใจสุดขีด และคิดทันทีว่า ตัวเองคงจะติดเชื้อเอชไอวี เข้าให้แล้ว รีบรุดไปหาหมอให้ตรวจเลือด

คุณๆ บางคนก็คงรู้ว่า ไม่มีทางติดหรอก เหยียบอย่างนั้น เพราะการติดเชื้ออยู่ที่ปริมาณและช่องทางการติด
แบบที่ช. เจอ ไม่มีทางติด ถึงแม้เท้าจะเป็นแผลในเวลานั้น ก็ต้องเป็นแผลเหวอะมาก และสิ่งที่เป็นของเหลวต้องมีปริมาณพอควร โธ่คุณโดนอากาศแป๊บ น้องเอสก็ตายเรียบแล้ว

ดังนั้นโอกาสเสี่ยงต่อชีวิตในกรณีนี้ก็น้อยมาก ยกเว้นไปเจอปริมาณมาก เหยียบแล้วลื่น ตกบันได หัวร้างข้างแตก นั่นน่ะเสี่ยง ถึงแก่ชีวิตเชียวนะคุณ

ส่วนอีกคน นายป. เป็นผู้ฟังรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men FM 102 ทุกคืนวันอาทิตย์นั่นแหละ (โฆษณาแฝงนิดนึง) ตอนสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน (เอาให้ครบ) สอบถามมาว่า พี่ครับ ผมไม่เคยเที่ยวกลางคืนเลย บาร์เกย์ นี่มัน…เป็นยังไงล่ะครับ

และวันก่อน ผมเจอชายเกย์รูปงามคนหนึ่ง เขาเล่าให้ผมฟังว่า เขาเคยคบผู้หญิงมาก่อน และมารู้ตัวว่า ตัวเองชอบผู้ชายก็ตอนเลขสามกว่าแล้ว เพื่อนผู้หญิงคนนั้น ก็เป็นเพื่อนกันไป เป็นมากกว่านั้นไม่ได้ แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนนี้ เขาเหงามาก ไม่มีเพื่อนเป็นเกย์เลย เพราะมารู้สึกตัวว่า ตัวเองชอบอะไร เพื่อนๆ ที่คบกันมา เค้าก็ไม่มารับรู้อะไรด้วยแล้ว เพราะต่างพากันแต่งงาน มีลูก ส่วนตัวเอง ทุกวันนี้รู้สึกเหงามาก ไม่รู้จะไปหาเพื่อนที่ไหน ไม่รู้จะเริ่มต้นผูกมิตรกับใคร ทำแต่งาน

อีกคน เป็นคุณผู้ฟังเหมือนกัน บอกมาว่า พี่ครับ ผมฟังรายการพี่ๆ อยู่ตั้งนาน กว่าจะเข้าใจว่า เก้งกวาง หมายถึงอะไร (หมายถึงเกย์น่ะคุณ เก้ง ก็เกย์ทำหน้าที่รุกบนเตียง กวางก็ทำหน้าที่ฝ่ายรับ) และหลังจากฟังเค้าคนนี้ ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่า ยังมีคำศัพท์อื่นๆ อีกมากมายที่พวกผม เข้าใจไปเองว่า คนฟังเข้าใจ แต่จริงๆ เค้าไม่เข้าใจ

คนเหล่านี้ล่ะครับ ผมขอเรียกว่า เกย์นอกกระแส

พวกเขาคือ คนธรรมดาทั่วไป คุณไม่มีทางพบเค้าที่สีลมซอยสอง ผับย่านอตก หลังสวน รัชดา ลำสาลี หรือถ้าคุณเป็นเก้ง กวาง คุณก็ไม่มีทางเจอเกย์นอกกระแสที่ซาวน่า สปา บาร์นวดใดๆ เพราะพวกเค้า “ไม่เคยไป”

ที่ไม่เคยไป ไม่ใช่เพราะเป็นคนไม่ทันสมัย หรือไม่ใส่ใจเรื่องรอบตัว แต่เป็นเพราะ ไม่กล้า ไม่รู้จะทำตัวยังไง ไม่มีเพื่อนไป ไม่แน่ใจว่าไปแล้ว จะเจอคนรู้จัก (ประเด็นนี้คือ เก้งกวางนอกกระแสที่ยังแอบๆ อยู่) และสุดท้าย คนเหล่านี้ คิดว่า พวกเขาไม่สามารถเข้ากับคนอื่นๆ ได้ เพราะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเกย์เลย!

ตอนแรก ผมคิดว่าจะตั้งชื่อบทความตอนนี้ว่า “เกย์นอกโลก” แต่คิด ๆ ดูแล้ว ไม่น่าจะเหมาะ เพราะจะไปสร้างความแตกแยกและไม่ปรองดองสามัคคีในหมู่คนไทย

ที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ “เกย์นอกกระแส” ไม่ใช่คนแก่ๆ อายุเกินสามสิบ แต่ผมเจอทุกช่วงอายุ ตั้งแต่มหาวิทยาลัยเรื่อยมาจนถึงอายุห้าสิบ และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ คนกลุ่มนี้มีเยอะมาก และอาจจะมากกว่า “เกย์ในกระแส” เสียอีก!!!!

ยังไม่มีอะไรมาพิสูจน์ยืนยันนะครับ แต่เป็นเรื่องที่นักวิจัยน่าจะนำมาวิเคราะห์ทำเป็นการศึกษาเรื่องประชากรเกย์ศาสตร์ในประเทศไทยเสียเลย

คุณผู้อ่านครับ ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า ถ้าผมให้ข้อมูลมากๆ กับเกย์นอกกระแส แล้วพวกเค้ากลายเป็นเกย์ในกระแส จะส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตของพวกเขามั๊ย เพราะการเป็นเกย์นอกกระแส ก็เป็นสีสัน และสร้างความหลากหลายอย่างหนึ่ง เหมือนโลกนี้ที่มีความหลากหลายทางเพศ นั่นไง

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจก็คือ ถ้าคุณได้เจอเกย์นอกกระแสที่แลดูไม่ประสีประสา ยิ่งหน้าตาบ๊องแบ๊ว คุณจะอดใจเอ็นดูพวกเค้าไม่ได้ จริงๆ

­………………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นโปรดิวเซอร์ และนักเขียนอิสระ ปัจจุบันผลิตรายการ Pink Mango ทาง Mango Channel ทุกคืนวันเสาร์ ห้าทุ่มครึ่ง http://www.facebook.com/vitayas

ามว่า เดี๋ยวนี้ทำไมเกย์เยอะจัง ถ้าเป็นผมเจอคำถามแบบนี้ ผมก็มักจะตอลว่า คุณครับผมอยากจะ

วัยรุ่น ถุง เซ็กส์

พิเศษ

หน้าม่านมายา 6 ก.ค. 2553: วัยรุ่น ถุง เซ็กส์
วิทยา แสงอรุณ

วันก่อน มีคนชวนไปนั่งฟังการคัดเลือกเอเยนซีที่มาแข่งขันชิงงานโครงการสร้างสื่อเพื่อลดการติดเชื้่อเอช ไอ วี ในหมู่วัยรุ่น มูลค่าโครงการเกือบห้าสิบล้านบาท ฟังเอเยนซีพรีเซ้นท์เพลินๆ อยู่ๆ ก็มีตัวแทนจากบริษัทหนึ่งถามโพล่งขึ้นมากลางห้องประชุม

“ในที่นี้ มีใครพกถุงยางมั่งคะ”

จำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้ง่วง เผลอหลับ หรือแอบเล่นบีบี พอได้ยินดังนั้น และเพื่อการมีส่วนร่วมที่ดี ผมก็ยกมือขึ้นทันที โช๊ะ! ได้เรื่อง! มองไปรอบๆ ห้อง ไหงมีตูคนเดียว (ฟะ)??!??? วาบสิครับ และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง นอยด์ก็ตามมา

‘เอ๊ะ นี่คนอื่นๆ เค้าจะคิดว่าเรา ‘สำส่อน’ หรือเปล่า?”

สองสามวันต่อมา พอนั่งคิดๆ ดู สมมุติเป็นเด็กนักเรียนชายวัยรุ่นถูกค้นพบว่าพกถุงติดตัว หรือถ้าเป็นนักเรียนหญิงวัยรุ่นมีถุงยางในกระเป๋านักเรียนล่ะ? แล้วน้องๆ จะทำหน้ายังไง แล้วถ้าผู้ค้นพบเป็นครู หรือเป็นผู้ปกครองล่ะ? ว่าแต่ว่า…แล้ววันนั้นคณะกรรมการท่านอื่นๆ เค้าจะคิดยังไงกับชั้น?

เอาเถอะครับ ได้แต่บอกตัวเองว่า…อย่าได้แคร์!

คุณผู้อ่านคงจำได้กับแคมเปญฮาๆ แต่โดนจุดที่สุดได้ นั่นคือ ผลงานของกองทุนโลกและกระทรวงสาธารณสุขที่ใช้สโลแกนว่า “ยืดอกพกถุง” (เอเยนซี: ลีโลเบอร์เนทท์) เป็นซีรียส์เรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่นที่เกิดอาการ “นอยด์” เวลาไปซื้อถุงยางอนามัยที่ร้านสะดวกซื้อ คิดไปต่างๆ นานาว่า กำลังมีคนจับตามองอยู่ รู้สึกอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี นี่ถ้ามีคนรู้…แต่จริงๆ แล้ว คนขาย หรือคนในร้านก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก

ตอนที่แคมเปญนี้ออกมา กระแสตอบรับแรงดีมาก ได้รับทั้งเสียงเชียร์และเสียงด่ามาพร้อมกัน แต่ต้องถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะยิ่งด่าก็ยิ่งดัง และคุณๆ อาจสังเกตได้ว่า คนด่าส่วนใหญ่ไม่ใช่วัยรุ่น แต่เป็นผู้ใหญ่

ต้องถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสังคมไทยที่เราหยิบยกเรื่องการพกถุงยางให้ประชาชนได้รับรู้ในพื่นที่สาธารณะ ถึงแม้กระแสในตอนนี้จะแผ่วลงไปบ้าง หรือไม่ได้ทำให้วัยรุ่นรู้สึกอยากจะยืดอกพกถุงกันทันทีทันใด แต่ถือว่า มีคน“จุดประกาย” ให้แล้ว
และต่อไปนี้ การพูดเร่ื่องเพศน่าจะมีช่องทางมากขึ้น และผู้ชมไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่น่าให้โอกาสตัวเอง “สำรวจ” ดูว่า คุณรู้จักตัวเองในเรื่องเพศ หรือความรู้สึกของตัวเองมากน้อยแค่ไหน

ผมไม่แน่ใจว่า มีการสำรวจความเข้าใจเรื่องเพศในหมู่ผู้ปกครอง ครู และ “ผู้ใหญ่” แบบครอบคลุมทุกด้านมาก่อนหรือเปล่า ก่อนนี้ เรามักจะบอกว่า พ่อแม่และครูเป็นบุคคลสำคัญในการให้ความรู้เรื่องเพศแก่วัยรุ่น ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นในทางปฏิบัติ เพราะพ่อแม่มักจะนิยม “ห้าม” และ “สั่ง” และเหนือสิ่งอื่นใด “ไม่รู้จริง”

ดังนั้น เราคงจะบอกให้วัยรุ่นภูมิใจ “ยืดอก แล้วพกถุงซะ​” คงไม่ได้ แต่ต้องโละระบบการเรียนการสอนเรื่องเพศใหม่ ปรับปรุงให้ทันสมัย ให้เด็กมองเรื่องเพศเหมือนอยู่ในวิชา…อะไรดี…คหกรรม?

การรู้จักตัวเอง ความต้องการของตัวเอง ก็เหมือนการเรียนรู้ส่วนผสมของอาหารต่างๆ เวลาหนูๆ เอาของมาผสมกันมั่วซั่ว บางทีก็กินได้ บางทีกินไม่ได้ หนูๆ ต้องรู้จัก “mix and match” ให้ดี จะได้รสชาติที่กลมกล่อม กินแล้วอร่อย ไม่ใช่กินแล้วท้องเสีย!

จริงๆ แล้วน่าจะปรับปรุงหลักสูตรให้เรียนรู้เรื่องเพศรอบด้านผ่านวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต (ยุคใหม่) โดยให้คุณครูเรียนรู้เรื่องเพศกันเองให้แน่นๆ เสียก่อน รวมถึงค้นหาเทคนิคการสอนใหม่ๆ เพื่อให้เท่าทัน ส่วนกระรอกตัวนั้นที่มักจะตกเป็นข้ออ้างของผู้ใหญ่ขี้กลัว ก็ยิงมันซะ

ในปีนี้ เราอาจจะได้เห็นแคมเปญเด็ดๆ สองชิ้นที่จะออกมาสอดประสานกัน เพื่อกระตุ้นให้วัยรุ่นได้ “คิดเป็น” เพศสัมพันธ์ คุณห้ามได้มั๊ย คุณแม่คุณพ่อเฝ้าลูกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมั๊ย ตกลงแล้ว เด็กเรียน กับเด็กเกเร และเด็กที่เป็นเกย์ ต้องได้รับการดูแลและ “สื่อสาร” แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร เพื่อให้โดนใจพวกเขา

นี่คือโจทย์สำคัญของผู้ใหญ่ และเป็นโจทย์ยากของคนทำงานด้านการศึกษาและสาธารณสุขที่ต้องไขปริศนา.ห้ได้และทันท่วงทีว่า วัยรุ่นไทยยุคนี้ คือใครกันแน่?
_______________________________________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ ปัจจุบันผลิตรายการเมโทร-โฮโมแนววาไรตี้มีสาระ ให้กับ Mango Channel ชมรายการฮ็อต “Pink Mango” ย้อนหลังได้ที่ http://www.youtube.com/pinkmangoTV

I Am What I am

พิเศษ

หน้าม่านมายา 11 พ.ค. 2553:
วิทยา แสงอรุณ

“คุณคะ ลูกชายเราจะแต่งงานกับผู้หญิง!!”

ข้างต้นเป็นบทตกใจของ “อิซซี่” เกย์สาวในละครเพลงชื่อก้องโลก La Cage Aux Folles ในฉบับภาษาไทยที่ตั้งชื่อได้กิ๊บเก๋ว่า “กินรีสีรุ้ง” ดีใจนะครับที่คนจัดไม่ตั้งชื่อว่า กินรีสีม่วง เพราะจะฟังดูโบราณไปนิดนึง ถึงแม้ว่าละครเรื่องนี้จะอายุกว่า 30 ปีแล้ว

อิซซี่เป็นนางโชว์ขั้นลายครามอยู่ในโรงละครคาบาเร่ต์ที่ภูเก็ต เจ้าของโรงละครคือแฟนเกย์ของเธอเอง ในวัยหนุ่ม “จอร์จ” พลาดไปหน จนทำผู้หญิงท้อง ได้ลูกชายมาหนึ่งชีวิต

เติบใหญ่สู่วัยยี่สิบ “ต้น” ลูกชายคนเดียวของจอร์จพบรักกับลูกสาวนักการเมืองผู้หนึ่งที่เกลียดเกย์และกะเทยเข้าไส้ แต่ด้วยรักบังตา ต้นกลับมาบ้าน เพื่อขอร้องให้พ่อจอร์จช่วยเปลี่ยนแปลงบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสร้างฉากใหม่หลอกพ่อตาในอนาคตไม่ให้รู้ว่า เขามีพ่อสองคนที่เป็นเกย์ และบอกว่าประกอบสัมมาอาชีพอื่น ไม่ใช่ทำโรงเต้นระบำของสาวประเภทสอง

เปลี่ยนบ้าน สร้างประวัติใหม่พอไหว แต่สิ่งที่สร้างความโกลาหลจนเป็นที่มาของละครเพลงคลาสสิคสุดฮิตเรื่องนี้ก็คือ ลูกต้องกำจัดพ่อคนที่สองของเขา หรือที่เรียกกันในเรื่องว่า “แม่อิซซี่” ออกไปให้พ้นบ้านนี้

อิซซี่เลี้ยงดูต้นมาตั้้งแต่เด็กหลังจากแม่บังเกิดเกล้าทิ้งเขาไป เขา/เธอ เลยอดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ที่จะถูกไล่ออกจากบ้านและเป็นที่มาของบทเพลงอมตะ I Am What I Am

คุณๆ ส่วนใหญ่มักจะนึกว่า เหล่าเกย์มีเพลง I Will Survive เป็นเพลงประจำ แต่จริงๆ แล้ว มีหลายเพลงนะครับที่ใช้แทนสัญลักษณ์แห่งตัวตน หรือเป็นเพลงที่บรรดา “เก้งกวาง” กะเทย และผู้หญิงข้ามเพศนิยม “ฟังแล้วโดน”

หากเพลง I Will Survive คือเพลงปลุกปลอบเรียกขวัญและกำลังใจยามอกหัก เพลง I Am What I Am ก็ทำหน้าที่ปลุกใจให้คนที่คิดว่า ตัวเองต่ำต้อยด้อยค่ากว่าคนอื่นๆ ในสังคม ลุกขึ้นมา และต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี และสิทธิการมีชีวิตอยู่ของตัวเองอย่างมั่นคง

ผมชอบท่อนนี้ที่สุด เพราะมันมีความหมายอธิบายความรู้สึกคนเป็นเกย์ได้ดี ไม่ว่าจะยุคสมัยใด

I am what I am
And what I am needs no excuses.
I deal my own deck.
Sometimes the ace, sometimes the deuces.

There’s one life, and there’s no return and no deposit;
One life, so it’s time to open up your closet.
Life’s not worth a damn ’til you can say,
“Hey world, I am what I am!”
“I Am What I Am”

ความหมายรวมๆ นะครับ ตัวฉันเป็นของฉันอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องไปขอโทษหรือเกรงใจใคร ฉันจัดการชีวิตของฉันได้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็เพราะมีชีวิตนี้เพียงชีวิตเดียว จงเปิดประตู และยอมรับตัวเองจะดีกว่า บอกโลกทั้งใบไปเลยว่า ฉันนี่แหละคือฉัน นี่ไง!

แต่กว่าคุณๆ จะ “เลิกแอบ” แล้วกล้ายอมรับตัวเอง พร้อมทั้งกล้าจะเปิดปากพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ ย่อมต้องใช้เวลา และการฝึกฝน ผมไม่ได้พูดเล่นๆ นะครับ สำหรับหลายคนที่ยังแอบอยู่ หวาดกลัวอยู่ ไม่แน่ใจในตัวเองว่า จะพบเจออะไรบ้างหากพูดความจริงออกไป แถมคุณยังแอบมานานนับสิบๆ ปี ลองให้โอกาสตัวคุณเองสักครั้งนะ

ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทัศนคติ มุมมอง มองโลกแบบที่อิซซี่บอกในละครคือ มองในมุมอื่นๆ ที่แตกต่างบ้าง อย่ายึดติด และอย่าไปฟังเสียงนกเสียงกาที่บอกคุณว่า จงแอบต่อไป-อย่าบอกให้ใครรู้ เพราะถามเข้าจริงๆ คนที่บอกคุณอย่างนั้น ก็อยากมีชีวิตที่ไม่ต้องกลัวคน “จะรู้” ทั้งนั้นแหละ

I Am What I Am จึงเป็นเพลงที่ใช้ป่าวประกาศ ให้คุณฮึกเหิม ลุกขึ้นมาทำเพื่อตัวเอง สลัดสิ่งทีี่เป็นมายาและอคติออกให้หมด เมื่อคุณทำได้ คุณถึงจะ “survive” อย่างแท้จริง!

……………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืนทาง FM102 รับฟังย้อนหลังได้ที่ http://bkkfanclub.blogspot.com

เสวนา Sex & Sin ล้วงลึกผู้ชายห้าบาป เสาร์ 26 นี้ เที่ยง

พิเศษ

ว่างๆ มาฟังกันนะครับ

Saturday, June 26, 2010
Time: 12:00pm – 3:00pm
Location: คลินิกชุมชนสีลม http://www.silomclinic.in.th/contact.html
Street: ถนนสีลม

Description .พบกับ
ต๊อบ ชัยวัฒน์ ทองแสง (เพื่อน…กูรักมึง)
“สุขภาพผู้ชาย ดูแลให้ถึงจุด ทำยังไง”
ในงานเสวนา “เพศสัมพันธ์กับตราบาป: ล้วงลึกเรื่องลับสุขภาพเพศชาย” ตอน “ผู้ชาย 5 บาปกับกามสุข”
คุยคุ้ยเรื่องเสพสุขกับผู้ชาย 5 บาป
-เจ้าแม่ซาวน่า
-เจ้าพ่อที่สาธารณะและเอ๊าท์ดอร์
-มรว. ถนัดซื้อ สะดวกดีค่ะ
-แกนนำรวมกันเรามันส์และอินเตอร์เนทฟีเจอร์ริ่ง
-หนูสวยซื่อรักเดียว
(มีอาหารเที่ยงเลี้ยงรับรอง และของแถมแจกฟรีในงาน)

Meet Mr. Tob Chaiwat Thongsaeng (Bangkok Love Story)
“men’s health: taking care at the right spot”
in talk show “Sex & Sin: revealing the secret of men’s sexual health” episode 1 “5 sinned men and sexual pleasure”
dig deep about sex with 5 sinned men
-Goddess of sauna
-God of outdoor and public places
-M.R. Thanudsue Saduakdeeka
-Leader of group sex and internet featuring
-Miss Innocent monogamy beauty
(Free food and souvenir)

คนดังระดับโลกกับ “Gay-CSR”

พิเศษ

หน้าม่านมายา กรุงเทพธุรกิจ 8 มิ.ย. 2553

ในหนังเรื่อง “Brüno” (2009) ตัวละครเกย์ชื่อเดียวกันกับชื่อหนังได้รับคำแนะนำว่า ถ้าอยากจะดัง ต้องทำตัวอย่างคนดัง หนทางหนึ่งที่ได้ผลมากๆ ดังเร้วเร็วก็คือ “รับเด็กมาเลี้ยง”

ดูอย่างแองเจลินา โจลี กับมาดอนน่านั่นปะไร! รับเด็กมาเลี้ยงเต็มบ้าน!

และแล้วบรูโนก็ไปหาเด็กแอฟริกันมาเลี้ยง กระเตงลูกไป และทำกับเด็กเหมือนเป็นเครื่องมือพีอาร์อย่างหนึ่ง

ยุคปัจจุบัน อาจจะเรียกได้ว่า ถ้าคุณดังและอยากจะดังยาว ๆ นานๆ ต้องมี “กิจกรรมเพื่อสังคม” ควบคู่กันไป แต่ถ้าคุณไม่ได้สนใจเรื่องนั้นจริงๆ (Corporate) Social Responsibility ที่คุณโฆษณา หรือขายความดังทำโปรโมทลงไป ก็คงไม่รอด และในที่สุด คุณก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นของปลอม

เร็วๆ นี้ มาดอนน่าตอกย้ำความสนใจด้านสังคมของเธออีกครั้งหนึ่งว่า เธอเป็นตัวจริง ด้วยการเรียกร้องให้ประเทศมาลาวีเคารพสิทธิมนุษยชนของเกย์สองคนที่ถูกจับเพราะแสดงตนว่าเป็นเกย์ แถมจัดพิธีหมั้นเป็นที่โจษจัน

โทษทัณฑ์ที่สองหนุ่มจะได้รับคือต้องติดคุก 14 ปีและถูกลงโทษให้ทำงานอย่างหนัก

ที่ประเทศเล็กๆ แต่มีประชากรหนาแน่นและเด็กๆ เจ็บป่วยมากมายในแอฟริกานั้น พฤติกรรมรักเพศเดียวกันยังถือว่าผิดกฎหมาย เสื่อมเสียศีลธรรม และไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม

ข่าวชายสองคนนี้ดังไปทั่วโลก และต่อมา ด้วยเสียงเรียกร้องของนานาชาติ พร้อมการรณรงค์ผ่านแคมเปญเว็บไซต์ของนักร้องดังขวัญใจเกย์ในเวลาอันรวดเร็วและแข็งขัน ทำให้มีคนส่งเสียงสนับสนุนให้เธอถึง 30,000 คน และเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ประธานาธิบดีของมาลาวีประกาศอภัยโทษให้พวกเขาในเวลาต่อมา

นักร้องสาวใหญ่ดาวค้างฟ้าที่รับเด็กมาลาวีมาเลี้ยงเลยรู้สึกปลื้มถึงกับส่งสาส์นขอบคุณแฟนๆ ของเธอยกใหญ่ ที่ร่วมด้วยช่วยกัน ไม่รู้ว่ามีเกย์-เลสฯ คนไทยได้รับรู้ และช่วยกันลงชื่อในแคมเปญนี้?

ก่อนหน้ากรณีมาดอนน่ากับประเทศมาลาวี ก็ยังมีคนดังอีกคนที่น่าสมควรกล่าวถึงนะครับ

พ่อมดน้อยวัย 20 แห่งฝั่งอังกฤษ แดเนียล เรดคลิฟฟ์ ได้ออกมาร่ายมนต์เสน่ห์ของเขา ด้วยการับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ผลงานโฆษณาใหม่ล่าสุดขององค์กรช่วยเหลือเกย์วัยรุ่นที่ประสบปัญหาชีวิตและคิดฆ่าตัวตายที่ชื่อว่า Trevor Project (www.trevorproject.org) เขาให้สัมภาษณ์กับเอ็มทีวีไว้ว่า

“ผลงานชิ้นนี้ เป็นสิ่งที่ผมสนใจทำมากๆ อยู่แล้ว เพราะว่าโตมา ก็แวดล้อมด้วยคนที่เป็นเกย์ทั้งนั้น ผมเลยรู้สึกเหมือนเรื่องธรรมดา ผมไม่เคยรู้สึกต้องลังเลใจเลยแม้แต่น้อย เวลาจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ และตอนนี้ ผมอยู่ในสถานะที่สามารถช่วยโครงการดีๆ นี้ได้”

เขาไม่ได้แค่พูด หรือมีผู้ใหญ่มาบอกใบ้ให้ทำน่ะครับ ย้อนกลับไปสองสามปีที่แล้ว เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า อยากจะลองรับบทเกย์ดีๆ ซักบทดู ตอนนั้นมีโครงการหนังจะ remake ใหม่ เป็นเรื่องที่เคยทำให้รูเพิร์ต เอเวอร์เรตต์ ดังมาแล้วทั้งภาคละครเวทีและแผ่นฟิล์มชื่อ “Another Country” (1984) ตัวเอกเป็นจารชนจากรัสเซียที่เป็นเกย์ ปลอมตัวเป็นนักศึกษาอยู่ที่อังกฤษ

แดเนียลเล่าว่า ด้วยอายุของเขาตอนนั้น (18) เหมาะมากกับบททำนองนี้ เพราะเป็นช่วงที่วัยรุ่นค้นหาตัวเองในด้านเพศอยู่

คุณอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วอาจจะสงสัยว่า ข่าวลือที่ว่าแดเนียลเป็นเกย์ อาจจะเป็นจริงแน่ๆ แต่ว่าในความเป็นจริง เขาไม่ได้เป็นเกย์ และยืนยันว่า ไม่เคยคิดว่าอะไร และไม่ได้คิดอะไรมาก หากใครจะคิดว่าเขาเป็นเกย์ เพราะเขาไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรที่ถูกมองเช่นนั้นเลย

ดาราไทยคนไหนที่เป็นเกย์แล้วต้องแอ๊บอยู่ สามารถนำประโยคข้างต้นนี้ไปใช้ต่อได้ ยังไงๆ ผมก็ว่า น่าจะดีกว่า ท้าทายให้คนมา “เหยียบหน้า” หรือเปรียบเทียบว่า “ผมรักพ่อ รักพี่ชาย ผมไม่ได้เป็นเกย์” นะครับ ฟังไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่

มาที่สาวๆ นักแสดงจาก Sex And the City กันบ้าง พวกเธอก็มีแคมเปญเพื่อเกย์เช่นกัน

เร็วๆ นี้เว็บเกย์ชื่อดัง http://www.365gay.com นำสี่สาวมาทยอยตอบคำถามจากประชาชนทั่วไป ทั้งจากคุณแม่ คุณลูก และผู้หญิงที่คิดว่าแฟนเป็นเกย์ พวกเธอคิดไม่ออกว่า เวลาเจอปัญหาของคนไม่เข้าใจเกย์ จะหาทางออกให้อย่างไร

คำถามหนึ่งที่คุณ “มิรานด้า” (คุณซินเธีย นิกสัน) ได้รับก็คือ คุณแม่คนหนึ่งมีลูกอายุ 7 ขวบ และหล่อนคิดว่าลูกน่าจะเป็นเกย์ หล่อนกลัวว่าลูกจะถูกแกล้งตอนไปโรงเรียน ในฐานะแม่จะเตรียมตัวยังไงดี?
ในฐานะแม่ คุณซินเธียตอบว่า สิ่งที่คุณแม่ทำได้ก็คือคอยดูแล บอกให้ลูกรู้ว่าไม่ว่า ลูกจะเป็นอะไร ก็รักลูกเสมอ และถ้าเป็นไปได้ ต้องคอยสื่อสารกับครูและผู้ปกครองคนอื่น เพราะ “ดิฉันเชื่อว่า พ่อแม่คนอื่นก็คงไม่อยากให้ลูกๆ ของตัวเองทำตัวชั่วร้ายกับคนอื่นนะคะ”

ในบรรดาสี่สาวนักแสดงนำ คุณซินเธียน่าจะ “อิน” กับโครงการนี้ที่สุด เพราะเมื่อเร็วๆ นี้เอง เธอยอมรับว่า ตัวเองก็รักผู้หญิงเหมือนกัน และเพิ่งจะเปิดตัวแฟนสาวของเธอให้โลกรับรู้ ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยแล้ว

ดารา นักร้อง หรือคนดังที่ทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคมยังมีอีกหลายคนนะครับ แต่คนที่ทำอะไรดีๆ เพื่อลดความเกลียดชังเรื่องเพศในสังคม ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ทั้งๆ ที่เรื่องเพศเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดเรื่องหนึ่ง

คุณติ๊นา คุณมาช่า คุณทาทา คุณเจนนิเฟอร์ คิ้ม ฯลฯ คุณๆ กำลังทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคมเหมือนคนดังระดับโลกอยู่นะครับ
……………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืนทาง FM102 รับฟังย้อนหลังได้ที่ http://bkkfanclub.blogspot.com /FB: http://www.facebook.com/vitayas

เก้งกวางไปพบกันรอบการกุศล บัตรลดราคาสุดๆ 23 มิ.ย. นี้

พิเศษ

รอบพิเศษละครเพลง “กินรีสีรุ้ง”
คุณจะรักเรา หากคุณได้รู้จักพวกเราชาวสีรุ้ง

สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย
เปิดรอบพิเศษวันที่ 23 มิ.ย .2553
เวลา19.30 น.

ติดต่อซื้อบัตรราคาพิเศษได้ที่
สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย
สำนักงานกรุงเทพมหานคร
026907733-4 ต่อ 114,
0834021148,
0863631148
(ในเวลาทำการ)

บัตรราคา 60% ของท้องตลาด (จำนวนจำกัด)

* บัตรราคา 2,800บาท เหลือเพียง ราคา 1,680 บาท
* บัตรราคา 2,300บาท เหลือเพียง ราคา 1,380 บาท
* บัตรราคา 1,800บาท เหลือเพียง ราคา 1,080 บาท
* บัตรราคา 1,500บาท เหลือเพียง ราคา 900 บาท
* บัตรราคา 1,000บาท เหลือเพียง ราคา 600 บาท
* บัตรราคา 500บาท เหลือเพียง ราคา 300 บาท

รัก  เข้าใจ  ศักดิ์ศรี  เท่าเทียม
ดนัย (เมี้ยว)  ลินจงรัตน์
สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย

หน้าม่านมายา: I Love You Phillip Morris (จะคุกกี่หน ก้อ…คนมันรัก)

พิเศษ

หน้าม่านมายา 25 พ.ค. 2553: I Love You Phillip Morris (จะคุกกี่หน ก้อ…คนมันรัก)

A scene from the movie

Stephen is making a fake phone call.

คุณจะให้อภัยและยังรักเขา คนที่ทำชีวิตคุณพังพินาศยับเยิน หากเขาจะแหกคุกออกมาอีกสักครั้งเพื่อมาขอรักคุณต่ออีกสักครั้ง และอีกครั้ง หรือไม่?

สตีเฟน เจย์ รัซเซลเป็นนักโทษชื่อดังของอเมริกาที่อ้างตัวว่ามีไอคิวสูงถึง 160 เขานิยมการโกหก ฉ้อฉล ปลิ้นปล้อน ยักยอก หลอกลวงเงินทองของชาวบ้านมาปรนเปรอความอู้ฟู่ของตัวเองและคนที่เขารัก ชีวิตของนายคนนี้มักแวะเวียนอยู่กับคุก และจากหลายๆ คุกนั้น พอเขาแหกซังเตออกมาทีไร เจ้าหน้าที่ก็รู้ทันทีว่าจะไปคว้าตัวเขาได้ที่ไหน

บ้านของฟิลลิป มอร์ริส คนรักของเขานั่นเอง และก่อนหน้านี้ ทั้งสองได้พบกัน…ได้-ได้กัน และตกหลุมรักกันก็ในคุกนี่แหละ

I Love You Phillip Morrisเป็นหนังที่สร้างจากหนังสือชื่อ “I Love You Phillip Morris : A True Story of Life, Love, and Prison Breaks เขียนโดย Steve McVicker ที่เล่าเรื่องจริงการแหกคุกพิสดารพันลึกของคุณสตีเฟน เขาคือจอมโจรพันหน้า ปลอมเสียง ปลอมชื่อ ปลอมหลักฐานได้แทบทุกอย่าง

ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าทำไมบทนี้ต้องเป็นคุณจิม แครีย์ กระทั่งไปดูถึงรู้ว่าจะเป็นของใครคนอื่นไม่ได้นอกจากนักแสดงพันหน้าคนนี้ ในบางฉาก ใบหน้าของคุณจิมจะอยู่ในมุมที่ไม่เหมือนตัวเขาอยู่เสมอ ส่วนในชีวิตจริง คุณสตีเฟ่นนิยมปลอมเป็นตำรวจ หมอ ผู้พิพากษา กะเทย และนักการเงิน และด้วยไหวพริบ เขามักเอาตัวรอดหนีออกจากคุกได้โดยไม่เคยใช้ความรุนแรงใดๆ เลย

หนหนึ่ง เขาเคยเดินออกจากที่คุมขังแบบสบายๆ ด้วยความเพียรแท้ๆ

หลังจากลอบสะสมปากกาวาดเขียน เขาเอาหมึกจากปากกามาแช่น้ำย้อมเสื้อเป็นสีเดียวกับชุดทำงานแพทย์ แล้วเดินปร๋อออกจากคุกหน้าตาเฉย ชนิดที่เอาหมาดมก็ไม่เจอ

แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่คิดจะปลอมเลยคือ ความรักที่มีให้กับฟิลลิป เขารักผู้ชายคนนี้จนหมดหัวใจ

ยวน แม็คเกรเกอร์ ผู้รับบทฟิลลิป เล่าว่า ก่อนถ่ายทำ เขาได้มีโอกาสเดินทางไปเจอฟิลลิปตัวจริง และใช้เวลาอยู่ด้วยกันวันกว่าๆ ไม่ใช่เพื่อไปเลียนแบบบุคลิกของตัวจริง แต่ไปรับรู้ความรู้สึกลึกๆ ของเขา ยวนบอกว่า มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เมื่อคนรักที่บอกรักกันอยู่เสมอนำปัญหามาให้ถึงขนาดที่ตัวฟิลลิปต้องกลับไปติดคุกต่ออีก 9 ปี โดยไม่ได้ตั้งใจทำความผิด

ตัวหนังพยายามเลี้ยงนำ้หนักระหว่างความเป็นจริงของชีวิตทั้งคู่ และการวางโทนของเรื่อง ไม่ให้ประเด็นความเป็นเกย์ของตัวเอกเป็นตัวชูโรงขับเคลื่อนเรื่องราว เพราะหนังเรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการขับนำเสนอปัญหาหรืออุปสรรคที่เกย์ในยุคนั้น (1970s) หรือในยุคนี้กำลังเผชิญอยู่ คนดูแทบจะไม่รู้สึกว่า ตัวละครสองตัวนี้มีความแปลกแยก หรือรู้สึกต่อต้านในใจว่า “นี่ฉันกำลังดูหนังเกย์” อยู่หรือ?

ผู้กำกับและผู้เขียนบทเป็นทีมผู้ชายสองคน (Glenn Ficarra และ John Requa) เรียนจบที่เดียวกัน เริ่มต้นทำงานเหมือนกัน และเป็นเพื่อนรักกันมากจนใครๆ นึกว่าเป็นคนรักกัน ทั้งสองคนไม่ได้ถือว่าเป็นมือใหม่ในวงการ และให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า เขาไม่ได้เป็นเกย์ และไม่คิดว่าหนังเรื่องนี้คือหนังเพื่อผลักดันประเด็นเกี่ยวกับเกย์ แต่เป็นหนังเกี่ยวกับความรักของผู้ชายสองคนที่บังเอิญมาพบกัน

ความน่าสนใจมีอยู่หลายจุดให้ชวนติดตามในหนังเรื่องนี้ และที่แน่ๆ รู้สึกแปลกๆ ผมว่าน่าจะมีบางฉากที่โดนตัดออกไป

ตอนนี้บ้านเรามีระบบจัดเรตติ้งใหม่ ในหนังคุณจะได้เห็นจิม แครี่ย์ในบทของสตีเฟน ตอนที่ยังไม่ยอมรับตัวเองว่าเป็นเกย์กำลัง “เย่อ” อยู่กับแฟนสาวบนเตียงคุณคงไม่ถึงกับสยิวกิ้วตามเท่าไหร่ เพราะยี่ห้อจิม แครี่ย์แล้ว ดูไปขำไป

ส่วนบทจูบปากกับยวนนั้น ไม่ได้โดนตัด คุณยวนเคยเล่นบทเป็นเกย์ออกสาวมาแล้ว และบทแรงกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นบทเปลือยเห็นด้านหน้าเต็มๆ ก็ผ่านมือพี่แกมาหมดเกลี้ยงแล้ว เรื่องจูบกับจิมจึงเป็นเรื่องจิ๊บๆ ทั้งสองยังเคยจูบโชว์ให้นักข่าวถ่ายรูปในงานเทศกาลหนังมาแล้วอีกต่างหาก คนดูเลยไม่ค่อยตื่นเต้น แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นทอม ครูซจูบสิ เตรียมสัมภาษณ์ใหญ่กันได้เลย

ในหนัง สตีเฟนกับฟิลลิปกอดกันอย่างอบอุ่นแสนโรแมนติก-ในห้องขัง แม้จะเป็นภาพเงามืดของคนเต้นรำ แล้วก็มีเสียงซ้อมผู้ต้องหาที่อยู่อีกห้องข้างๆ ดังสนั่นเป็นซาวด์แทรกประกอบเพลงหวานซึ้ง ตัวหนังก็ทำออกมาได้ดี และเนียน

ผมถามเพื่อนๆ ที่ไปดูด้วยกันว่า รู้สึกยังไงกับหนังเรื่องนี้ มีหลากหลายความเห็นครับ คุณควรจะไปดูเอาเอง ดูให้รู้ว่า แล้วคุณล่ะรู้สึกยังไง

ปัจจุบันคุณรัซเซลยังคงนอนอยู่ในคุก แต่ละวัน ต้องอยู่ในห้องแคบๆ 23 ชั่วโมงห้ามออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน หลังโดนพิพากษาจากข้อหาหลายกระทง ไม่รู้ว่าเขาจะตายในคุกเลยหรือเปล่า เพราะศาลสั่งให้อยู่ในคุกจนครบ 114 ปี

นักข่าวสาวของสื่อแขนงหนึ่งไปสัมภาษณ์เขาและเขียนไว้ว่า ดูแล้ว เขาเป็นคนมีเสน่ห์ มีอารมณ์ขัน และตอนนี้ได้กลายเป็นที่รักของหมู่นักโทษด้วยกัน มีการขอลายเซ็น แม้เจ้าตัวจะยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เต็มๆ ดูแต่เทรลเลอร์เขาบอกว่า รู้สึกพอใจที่ผู้เขียนบทและผู้กำกับเข้าใจเรื่องราวของเขาและความรู้สึกของเขาต่อฟิลลิป

“ผมชอบชื่อเรื่องมาก ใช่ครับ I love you, Phillip Morris ตอนนี้ผมก็ยังรักเขาอยู่ แม้มันจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่เราจะได้อยู่ด้วยกันอีก ผมไม่ได้มีใครเลย และผมก็แค่อยากรู้ว่า เขายังรักผมอยู่มั๊ย”

(ภาพยนตร์จากเอ็ม พิคเจอร์ส เริ่มฉายแล้ว20 พ.ค. ในโครงการซิลเวอร์มูฟวี่ ที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์)
……………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืนทาง FM102 รับฟังย้อนหลังได้ที่ http://bkkfanclub.blogspot.com

เปิดแคสติ้ง Love Audition (Season 2)

พิเศษ

Cyberfish Media Co., Ltd. เปิดรับสมัครนักแสดง

Love Audition

ซีรีย์หนังสั้นภาคสอง ชื่อ Love Audition

ถ้าคุณ หุ่นดี หน้าตาดี บุคลิกดี และคิดว่าอยากท้าทาย
กับบทต่างๆ เหล่านี้ (คุณเป็นเกย์ หรือชายทั่วไป หรือไบฯ ก็ได้)
เรากำลังจะเปิดแคสติ้ง

บท “นก”
อายุ 22-28 ตี๋/ไทย รักจริง จริงจังกับความสัมพันธ์ มีอารมณ์ขัน

บท “ภูมิ”
อายุ 25-30 ตี๋/ไทย ภูมิฐาน ดูน่าเชื่อถือ จริงจังกับความสัมพันธ์ ยังแอบๆ อยู่

บท “ก้อง”
อายุ 28-35 Bad Boy look ตี๋/ไทย ก็ได้ อบอุ่น รักสนุก เล่นบทเลิฟซีนได้

บท “พัฒน์”
อายุ 25-30 เซ็กซี่ กล้าแสดงออก มาดแมน เจ้าเล่ห์ มีเสน่ห์เหลือร้าย ไม่ต้องการหาคนรัก ขอสนุกไปเรื่อยๆ เล่นบทเลิฟซีนได้ ตี๋/ไทย ได้

บท “ชัย”
อายุ 25-30 ขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้ ต้องเป็นหนุ่มหน้าไทย เท่านั้น

Extras
อายุ 18-50 หลากหลายบุคลิก ตี๋ได้ ไทยได้ สูง 170 ขึ้นไป ถ้าสามารถเต้นลีลาศ/บอลรูมได้
จะพิจารณาเป็นพิเศษ

เริ่มถ่ายปลายเดือน พค – กลางเดือนมิถุนายน 2553
ส่งรูปปัจจุบันที่ชัดเจน พร้อมประวัติ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
ภายใน วันที่ 22 พค 2553 มาที่

cyberfishmedia@yahoo.com

ดู Trailer ภาคแรก

ภาพเบื้องหลัง Season 1

เลื่อมพรายลายรัก (ฉบับเกย์)

พิเศษ

หน้าม่านมายา 11 พ.ค. 2553: เลื่อมพรายลายรัก (ฉบับเกย์)
วิทยา แสงอรุณ

นิมมานปะทะคารมกับบันลือ

บันลือโต้กลับอย่างเผ็ดมัน

พอคุณนาย “นิมมาน” รู้ความจริงที่ถูกปกปิดมานานเกี่ยวกับ “เรวัติ” คนสนิท เธอก็เกรี้ยวกราดราวจะฉีกเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ “เธอคบกับนายบันลือมานานแค่ไหนแล้ว” หล่อนถมึงตาใส่

เขาสั่นๆ และตอบไปสั้นๆ ถึงเหตุการณ์ที่พบรักกัน หล่อนยิงคำถามต่อเนื่อง “นอกจากนายบันลือแล้ว เธอมีพฤติกรรมแบบนี้กับใครอีก” เมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้ำอึ้ง หล่อนจึงไม่ยั้งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “งั้นฉันถามอีกคำ มีพฤติกรรมแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว”

ในละครเรื่อง “เลื่อมพรายลายรัก” (ช่อง 3) สองตระกูลต่อสู้ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดในเรื่องผลประโยชน์และอื่นๆ ถึงขั้นหมายเอาชีวิตกันและกัน แต่ก็น่าแปลกที่คนในตระกูลนี้ขยันจับคู่กัน ลักลอบได้เสียเรื่อยมาทั้งคู่ชายหญิง และลักลอบได้-ได้กันอย่างคู่เรวัติ และบันลือ

เท่าที่ผมสังเกตดู ในช่วงสองสามปีมานี้ ละครจอตู้ รวมถึงซิทคอมหลายเรื่องมีตัวละครชายรักชายเป็นองค์ประกอบมากขึ้นแทบทุกช่อง ผู้จัด คนเขียนบท และผู้กำกับ มีพัฒนาการมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในการจับประเด็นที่ละเอียดอ่อนต่อความเข้าใจและในสภาวะที่สังคมไทยยังมีฐานคติเรื่องเพศในแง่ลบ ไม่ว่าจะเรื่องใด

คนทำสื่อต่างเข้าใจดีว่า หากจะออกแรงเชียร์เกย์ กะเทย ทอม ดี้ในสื่อ ก็จะโดนตั้งข้อหา “ ทำให้เยาวชนเป็นเกย์” หรือถ้านำเสนอแบบบางเบา ก็จะกลายเป็น “ไม่รู้จริง” และจะโดนถามว่า ทำการบ้านมาหรือเปล่าเนี่ย?

สำหรับละครเรื่องนี้ เป็นตัวอย่างการ “Balance” เนื้อหาได้อย่างลงตัว และน่าปรบมือให้ เรียกได้ว่า คุณจะด่าทอ ว่าร้ายคนเป็นเกย์ก็ย่อมทำได้ในละครหรือเนื้อหาของคุณ แต่คุณต้อง “แฟร์” ด้วยในการนำเสนอเนื้อหา เพื่อคานน้ำหนักกันและกัน ผมคิดว่า สิ่งนี้เป็นตัวตัดสินว่า คุณเป็นมืออาชีพหรือไม่ในการนำเสนอบท

ในเรื่อง หลังจากที่นิมมาน (คุณชไมพร จตุรพุช) รับรู้ความจริง และพร้อมจะขย้ำ เรวัติ (คุณปิติศักดิ์ เยาวนนท์) ด้วยการด่าทอเขาเป็นพรวน ผมดูได้พักหนึ่ง ก็เปลี่ยนช่องไป เพราะคิดเหมาเอาเองว่า เดี๋ยวนิมมานก็ต้องกระทำรุนแรงต่อเรวัติ นอกจากด่าแล้ว ถ้าไม่ตบเขา ก็คงถีบเขาออกจากบ้าน ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมเลือกรีโมทครับ ผมกดไปดูช่องอื่น

และแล้วผมก็คิดผิด เพื่อนคนหนึ่งที่ดูจนจบ เล่าให้ฟังว่า มีฉากเด็ดที่ผมพลาดไป แล้วผมควรจะเสียใจ แต่คุณผู้อ่านครับ เดี๋ยวนี้ดูยูทูปได้ และโชคดีช่วงที่ละครเรื่องนี้เริ่มออกอากาศ ผมมีคู่มือ (ก้อหนังสือเล่มบางๆ รวมบทโทรทัศน์ของละครที่ขายเล่มละ 20 บาทตามแผงนั่นแหละ)

ในเรื่อง คนเขียนบทไม่ได้ให้นิมมานตบเรวัติจนคว่ำ แล้วด่าเขาซ้ำอีกสองสามรอบ จึงเดินกระทืบเท้าจากไป ในเรื่องนี้ เกย์อย่างเรวัติรู้จักปกป้องตัวเอง

นิมมาน “ ขยะแขยงอะไรอย่างนี้ แค่วิตถารทางเพศกับคนอื่น ฉันยังให้อภัย แต่นี่กับนายบันลือ….ไอ้โรควิปริตนี่ มันแพร่ไปทุกตระกูลจริงๆ”

เรวัติ “ผมกับคุณบันลือไม่ได้วิปริตนะครับคุณท่าน เลิกใช้คำนี้กับผมเสียที” หลังจากที่เขาพยายามก้มกราบขอโทษที่ทำให้ผู้มีพระคุณผิดหวังนิมมานยื่นคำขาดว่า ถ้าเขาเลิกเป็นเกย์ได้ หล่อนจะยกโทษให้ “มันไม่ใช่โรคร้าย ไม่ใส่สิ่งเสพติด หรือไม่ใช่สิ่งที่ผมสร้างมันขึ้นเอง มันคือตัวตนของผมครับคุณท่าน ผมเลิกไม่ได้หรอกครับ”

เท่านั้นแหละ เขาก็ถูกไล่ออกจากงาน และออกจากบ้าน บันลือ (คุณวรวุฒิ นิยมทรัพย์) ทราบข่าว ก็รีบรุดมารับแฟนหนุ่มของเขาอย่างไม่อายใครอีกแล้ว แต่ไม่วายต้องปะทะกับคุณนิมมานอีกครั้ง “พูดได้ไม่ละอายปากคนรัก ไม่ละอายบ้างหรือไงที่เกิดมาเป็นชายทั้งที แต่เสียชาติเกิดมารักเพศเดียวกันวิปริตสิ้นดี”

เจอบทนี้เข้าไป ไม่ตบก็เหมือนตบครับ เพราะคำพูดเชือดเฉือนสะเทือนอารมณ์คู่รักเสียจริงๆ สิ่งที่บันลือตอบโต้ ก็ไม่แพ้กัน “คุณนิมมาน ความรักไม่เลือกเพศเลือกพันธุ์หรอกครับ เกิดมาทั้งทีมีคนรัก เขาเรียกไม่เสียชาติเกิด ดีกว่าเกิดมาแล้วไม่มีใครรักหรือรักใครไม่เป็น…”

เลื่อมพรายลายรักเป็นละครที่มี “Sense of responsibility” ไม่เหมือนรายการทีวีหรือหนังบางเรื่องที่นำคนที่แตกต่างมาย่ำยีเป็นตัวตลก ขำๆ แล้วจบไป

(คลิปฉากบันลือมารับเรวัติ เริ่มที่ 0.40 นาที)

รายละเอียดอื่นๆ
บทประพันธ์ ดวงตะวัน
บริษัท บรอดคาซท์ ไทยเทเลวิชั่น
เลื่อม พรายลายรัก นำแสดงโดย
กำกับการแสดง เติม
รายชื่อนักแสดง
วิทยา วสุไกรไพศาล รับบท แสนยากร
ศรีริต้า เจนเซ่น รับบท ญาณิน (นิกกี้)
ชไมพร จตุรภุช รับบท นิมมาน
ดารัณ บุญยศักดิ์ รับบท ฆรณี
ศรัณยู ประชากริช รับบท เริงฤทธา
พริมรตา เดชอุดม รับบท รังสิมา
ดิลก ทองวัฒนา รับบท กัมปนาท
วรวุฒิ นิยมทรัพย์ รับบท บันลือ
เจนสุดา ปานโต รับบท แป้งร่ำ
ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์ รับบท เรวัติ
พศิน เรืองวุฒิ รับบท ทม
สุเมธ องอาจ รับบท เนืองนิตย์
ภูดิศ สุริยวงศ์ รับบท โดม
กานต์ อรุณเรืองสวัสดิ์ รับบท ตอย
ลิลลี่ แม็คกร๊าธ รับบท เดียร์
อณูวรรณ ปรีญานนท์ รับบท กอบัว
ติดตามชมเลื่อมพรายลายรัก ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.30 น. ทางช่องสาม
(ออกอากาศเมื่อต้นปี 2553)
………………………………………….
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาจัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืนทาง FM102 รับฟังย้อนหลังได้ที่ http://bkkfanclub.blogspot.com

ดีน่าดู “ผ่าผิวน้ำ”

พิเศษ

หน้าม่านมายา: ละครเวทีน่าดู “ผ่าผิวน้ำ” 27 เมษายน 2010 วิทยา แสงอรุณ

ถ้าคุณเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ คุณจะเปลี่ยนตรงไหนก่อน? แล้วจะเปลี่ยนมันยังไง?

นั่นคือคำถามหัวใจหลักของละครเวทีเรื่อง “ผ่าผิวน้ำ” ชื่อไทยแปลตรงๆ จากหนังสืออัตชีวประวัติ “Breaking the Surface” บอกเล่าชีวิตของ “เกร็ก ลูกานีส” นักกีฬากระโดดน้ำคนดังที่หัวฟาดสปริงบอร์ดอย่างจัง แต่ยังได้เหรียญทองโอลิมปิกมาครอง
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่กรุงโซล โอลิมปิกฤดูร้อนปี 2531 (Youtube search: greg louganis dive olympics)

ผมชอบเกร็กมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนอะไร หล่อ เท่ เก่ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกบางอย่างทุกครั้งที่เห็นเขา และดูเหมือนผมจะเข้าข้างตัวเอง เกร็ก ลูกานิสดูเป็นบุรุษลึกลับ และมักมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในความนิ่งนั้นเสมอ ผมอยากให้เขาเป็นเกย์ชะมัด ผมจะได้มีฮีโร่ซักคน!

ในปี 1994 เกร็ก ยอมรับอย่างเป็นทางการว่า เขาเป็นเกย์ และในอีกหนึ่งปีถัดมา เขาเปิดเผยความจริงผ่านจอในรายการสัมภาษณ์อีกด้วยว่า เขามีเซ็กซ์โดยไม่ป้องกัน

หลายเดือนก่อนหน้าจะไปแข่งที่กรุงโซล เขาตัดสินใจไปตรวจหลังจากได้ทราบข่าวว่า คนที่เขาเคยคบหาป่วยด้วยเอช ไอ วี ผลเลือดของเขาออกมาเป็นบวก และเขาเริ่มรับยาต้านไวรัส (AZT) นับตั้งแต่นั้น
ตอนที่เกร็กรู้ความจริง ความกดดันทำให้เขาตัดสินใจเลิกการแข่งขัน แต่เพื่อน ญาติ และคนใกล้ชิด ซึ่งรู้มาตลอดว่า เขาเป็นเกย์ และเขาก็ไม่ได้ปิดบังคนเหล่านั้น ต่างพากันสนับสนุนให้เขา “ไปต่อ”

ถึงแม้หัวจะเกิดอุบัติเหตุในการแข่ง และกลายเป็นผู้ติดเชื้อ เกร็กก็สามารถนำเหรียญทองมาให้กับทีมอเมริกัน ผลงานกระโดดน้ำ เหรียญรางวัลต่างๆ สถิติยอดเยี่ยมตั้งแต่ยังเยาว์ ทำให้เขาเป็นนักกระโดดน้ำผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการจารึกชื่อในประวัติศาสตร์นับจนทุกวันนี้

เขายังไม่ตายนะครับ ตอนตรวจพบเอช ไอ วี เขาอายุ 28 ตอนนี้อายุ 50

ใครที่อ่านหนังสือเรื่อง Breaking the surface จะวางไม่ลง ด้วยเนื้อหาเข้มข้น ครบแทบทุกรส และไม่น่าเชื่อว่า นักกีฬาผู้ยิ่งยงคนนี้ มีปัญหาชีวิตรุมเร้ามาตลอดแทบทั้งชีวิตของเขา
“ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์” เป็นคนหนึ่งที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเกิดแรงบันดาลใจ ในฐานะคนเขียนบท ผู้กำกับ และอื่นๆ ในแวดวงละคร เขาจัดการแสดง “ผ่าผิวน้ำ” ด้วยบทดัดแปลงสุดล้ำครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 2551 และในสัปดาห์นี้ละครเวทีเรื่องนี้กลับมาอีกครั้ง พร้อมความแปลกใหม่จากการปรับปรุงบทเมื่อครั้งเก่า

ความน่าสนใจของผ่าผิวน้ำ คงไม่ได้อยู่ที่นักแสดงในกางเกงว่ายน้ำ และชีวิตของเกร็ก ลูกานีส ที่มาเล่าเป็นฉากๆ แต่ผู้จัดได้ใช้เทคนิคสื่อผสมต่างๆ มาช่วยให้การแสดงดูแปลกตา และทันสมัยยิ่งขึ้น

เขาเล่าว่า ผ่าผิวน้ำ เป็นการผสมผสานเนื้อหาของหนังสือสองเรื่องเข้าด้วยกัน อีกเรื่องคือ Biography: A Game ของ Max Frisch และนำเสนอในแนว ละครซ้อนละคร

“กันตชาติ” (รับบทโดยกฤษณะ พันธุ์เพ็ง จากเวอร์ชั่นเดิม) และ “ท๊อป” (รับบทโดยปราโมทย์ แสงศร) เป็นคู่รักกัน

ท๊อปยังทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัว และผู้ดูแลผลประโยชน์ให้กับกันตชาติอีกด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงพัวพันทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ขัดแย้งและส่งเสริมกันอย่างมีสีสันสุดขั้ว ถึงขนาดที่ว่า คุณรักเขามาจนอยากจะกำจัดออกไปจากชีวิตคุณ! เรื่องบทรัก บทจูบ ไม่ต้องพูดถึง มีครบ

ถึงแม้เกร็กไม่เคยปิดบังว่า ตัวเองเป็นเกย์กับคนใกล้ชิด แต่กับสาธารณะ เขาจะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้เลย การ “เลิกแอบ” ต่อสาธารณของเขาในปี 1994 นั่น ก็คือ การที่เขายอมเจ็บปวด ด้วยผ่านกระบวนการยอมรับตัวเองอย่างแท้จริง เขาได้ “ผ่าทางตัน” ของชีวิตของเขา เฉกเช่นเดียวกับการกระโดดดิ่งลงไป เพื่อเปิดทางให้กับตัวเอง

ถ้าคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว คุณจะต้องบอกว่า “เหลือเชื่อ” ที่เกร็กผ่านชีวิตและความกดดันอย่างนั้นมาได้อย่างไร เขาเคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้ว (Breaking the surface มีภาคแปลโดยสนพ. เรือนบุญ ชื่อ เกร็ก ลูกานิส กับชีวิตสู่ผิวน้ำ แปลโดยจิตพะงา วาระศิริ)

ผู้เขียนบทและผู้กำกับเล่าเขียนไว้ว่า
“….ในเมื่อเราทุกคนเกิดมาในโลกนี้แล้ว เราย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีประวัติชีวิตชุดหนึ่งติดมาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย และแน่นอน เราทุกคนย่อมมี “บาดแผล” อะไรบางอย่างในอดีต ซึ่งถ้าหากเราสามารถหลีกเลี่ยงหรือจัดการแก้ไขมันได้ มันก็ย่อมไม่ส่งผลของการกระทำ นั้น ๆ มาให้เราประสบดังที่เราเป็นอยู่ ในทุกวันนี้

ละครเวที “ผ่าผิวน้ำ” ระดมนักแสดงมากฝีมือหลายท่าน วรรณศักดิ์ ศิริหล้า เกรียงไกร ฟูเกษม, อาคีรา โหมดสกุล, ศิรเมศร์ อัครภากุลเศรษฐ์, พิมณภัทร์ เจริญทิพยรักษ์ และ คเณศ บุณยะปานะโชติ กำกับศิลป์และออกแบบงานสร้างโดย บรรพต วุฑฒิปรีชา
เริ่ม 27 เมษายน ถึง 9 พฤษภาคม 2553 แสดงทุกวันเวลา 19.30 น. เว้นคืนวันจันทร์ ณ Democrazy Theatre Studio ลุมพินี (เยื้องสวนลุมไนท์บาร์ซาร์ ประตู 6 หรือใกล้ MRT ลุมพินี ทางออกที่ 1) จองบัตรได้ที่ 086 787 7155, 089 109 5909 และ 084 530 6969 http://www.siamdemocrazy.com (โรงละครขนาดเล็ก รับได้ 50 ที่นั่งต่อรอบ ควรโทรจองก่อนนะครับ และจะขึ้นราคาครั้งละ 50 บาททุก ๆ 3 รอบจนถึง 450 บาท)
………………………
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men, FM 102 สี่ทุ่ม
ทุกวันอาทิตย์ http://www.facebook/vitayas

Bkk Post: We are family

พิเศษ

BKK Post ใจดี ลงเรื่องให้หน้าแรกของเซคชั่น Outlook นำมาฝากไว้ตรงนี้ เผื่อใครอยากอ่านนะครับ
(14 apr 2010)

Link: http://www.bangkokpost.com/print/36056/

Bangkok Post on Bangkok Radio For Men FM 102

ตีสิบ: เกย์-ตุ๊ด ถ้าไม่อยากข้ามเพศ ห้ามลอง

พิเศษ

รายการตีสิบ 6 เมษ 2553

อนันต์แปลงโฉม เลียนแบบเป็นจินตหรา

เนื้อหารายการตีสิบ ช่วง “สนทนา” ตอน: เกย์-ตุ๊ด ถ้าไม่อยากข้ามเพศ ห้ามลอง
ออกอากาศ: 6 เมษ. 2553
ผู้สัมภาษณ์: วิทวัส แขกรับเชิญ: อนันต์ บุญกลาง

วิทยา แสงอรุณ

เนื้อหาสรุป: “อนันต์” เคยมาแข่งขันช่วงดันดาราและมาออกทีวีในรายการนี้
มาก่อน ทีมงานไปพบว่า เขามีประวัติน่าสนใจ โดยนายอนันต์อ้างว่า เคยเป็นผู้ชาย
รักผู้หญิงมาก่อน ต่อมามีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมห้อง และตกหลุมรักกัน
ทั้งๆ ที่ทั้งสองคน “เป็นผู้ชาย”

ทางรายการตั้งประเด็นว่า ถ้าผู้ชายสองคนเกิดมีอะไรกัน สามารถ “เบี่ยงเบนทางเพศ”
ได้ โดยทั้งพิธีกร (คุณวิทวัส) พยายามจูงผู้สัมภาษณ์ให้เข้าประเด็น
เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับหัวข้อที่ตั้งไว้ ทั้งๆ ที่ผู้สัมภาษณ์ก็ไม่แน่ใจว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและผู้ชายคนนั้นคืออะไรกันแน่

ตลอดทั้งรายการทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ ใช้คำว่า
“เบี่ยงเบนทางเพศ” โดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริงอยู่หลายครั้ง และตั้งคำถาม
เป็นห่วงเยาวชน กลัวจะเบี่ยงเบน หากมีอะไรกับเพื่อนชายด้วยกัน

ตอนท้ายพิธีกรสรุปว่า “การเบี่ยงเบนทางเพศไม่ใช่เรื่องไม่ดี
แต่ที่แน่ๆ เป็นเรื่องผิดปกติแน่นอน คุณพ่อคุณแม่ดูให้ดีแล้วกัน”
____________________________________________________________
หมายเหตุ: ด้านล่างนี้ ไม่ใช่ถอดเทป และไม่ได้ต่อเนื่องกัน เป็นเนื้อหาที่เลือกมา

พิธีกร (เปิดประเด็น): ไม่อยากข้ามเพศไปเป็นเกย์ตุ๊ดแต๋ว
อย่าได้ลองมีอะไรกับผู้ชายด้วยกับเพศเดียวกันเด็ดขาด
ถ้าได้ลองเพียงครั้งเดียว อาจกลับมาเป็นเพศเดิมไม่ได้

เขายอมรับว่า เป็นเกย์ตั้งใจ เพราะไปลองเพียงครั้งเดียว
ชายแท้ที่ข้ามเพศไปเป็นเกย์แบบถาวรเกย์แบบไม่ได้ตั้งใจ

วิทวัส: ชายแมนแมนแท้สามารถเแปลงโฉมไปอีกคนได้

วิทวัส: การทดลองสิ่งผิดแปลกจากธรรมชาติเพียงครั้งเดียวกลายไปเลย

วิทวัส: จริง เมื่อก่อนเป็นผู้ชายแท้ ผู้ชายทั้งแท่ง100% ชายจริงๆ เกือบแต่งงานกับผู้หญิง

อนันต์: อายุ16 มาทำงานโรงงาน เคยชอบผู้หญิง จะไปขอผู้หญิงคนนั้น
พอกลับบ้าน ไปหาเขาที่ห้อง เห็นเขาอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง แต่ตรงนี้ไม่ใช่จุดเบี่ยงเบน

วิทวัส: แต่ส่วนหนึ่งได้รับความผิดหวังจากความรัก
ที่ไปอยู่ด้วยคือผู้ชายปกติที่ไม่ได้เบียงเบนทางเพศด้วยกัน

อนันต์: วันนี้เรามีอะไรกัน อย่าคิดอะไรมาก มันเป็นไปไม่ได้ (พูดกับผู้ชายคนนั้น)

วิทวัส: ลองเล่นสนุกๆ

อนันต์: เขากลับมามาบอกรักเราถึงเราจะเป็นผู้ชายด้วยกันเราคือ
คนที่เขารัก เขาบอกกลับบ้านไมได้บอกจะกลับไปแต่งงานคบกับเรา
เรามีความเป็นผู้หญิงมากกว่า พออยู่นานๆไปขาดเขาไม่ได้

คุณพ่อรับไม่ได้เพื่อนไปบอกว่า ลูกไปอยู่กรุงเทพเบี่ยงเบนทางเพศ
เอาผู้ชายด้วยกัน แม่ไม่เชื่อ เพราะลูกเคยบอกว่า จะเอาผู้หญิง
แม่เลยลองบอกว่าป่วย ก็เลยไปด้วยกันกับแฟน
ความเคยชินอยู่ด้วยกันตอนเช้าแม่ตื่นมาเจอหนุนแขนอยู่
แม่ถามเป็นอะไรกันบอกแม่มันเผลอ แม่เลยไปบอกพ่อ
พ่อล่ามโซ่เอาไว้ หาว่า เป็นบ้ารักผู้ชายด้วยกัน
แฟนมารอทุกวัน พ่อไม่ให้เข้าบ้าน แม่สงสารปล่อยให้หนีตามกันไป

อยู่ด้วยกันหกเดือน พ่อบอก ถ้ารักกันจริง กล้าขอแต่งงานไหม
จะไปแต่งฝั่งพ่อแม่เขา ลูกชายเขาบอกพ่อจะแต่งงาน
(เขาพาเราไปหาพ่อเค้า) ลูกชายพูดเสร็จพ่อใช้ข้าวเหนียวปาหน้า
ตัดพ่อตัดลูก ถ้าไม่ได้เราเขาก็ไม่เอาใคร เขาบอก

วิทวัส: จากการที่ได้ทดลองอะไรเล่นๆ ด้วยความซุกซนของผู้ชายสองคน

วิทวัส: เด็กๆ วัยรุ่นจะเตือนอย่างไรถ้าไม่อยากเป็นลักเพศ
เกย์ตุ๊ดแต๋วเขาบอกว่าห้ามลอง

อนันต์: มีส่วน ตั้งแต่เด็ก รักแม่เราจะเอาแม่เป็นตัวอย่าง
เด็กผู้ชายจะเห็นว่า ผู้หญิงมีความสำคัญกว่าผู้ชาย
อยากเป็นแบบเขา เลยทำตัวเป็นผู้หญิง พอมาโดน เขาก็เลยเป็น
มีเพื่อนที่เป็นนักร้อง ทีแรกไม่ได้เป็นเกย์ แต่พอลอง ก็เป็น
เดี๋ยวนี้ ไม่ไปกับผู้หญิง เพราะบางเรื่อง ผู้หญิงไม่เข้าใจ
ผู้ชายเข้าใจมากกว่าเพศที่เป็นผู้หญิง

(อนันต์เล่าเรื่องไปเกณฑ์ทหาร)
อนันต์: ในใจบอก เรามีสามีแล้ว ไม่อาบน้ำร่วมกัน บางทีเราเบี่ยงเบนทางเพศ
ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกัน เขาไม่คิดอะไร เราเบี่ยงเบนทางเพศ
เราเห็น เราคิดกลัวเขารู้ เพื่อนทหารด้วยกันไม่ทราบ เพราะถ้าเขารู้
เขาจะแกล้ง

วิทวัส: ถ้าเป็นเกย์แล้วกลับมาเป็นผู้ชายปกติไม่ได้

อนันต์: ไม่เสมอไป ทุกวันนี้เขา (แฟนเก่า) ยังกลับมาเป็นเกย์
เหมือนเดิม กลับมาเบี่ยงเบนเหมือนเดิม

วิทวัส: (สรุป) การเบี่ยงเบนทางเพศคุณอนันต์เกิดจากการลอง
เพียงครั้งเดียว และชีวิตทุกวันนี้เป็นเกย์100% จากการทดลองครั้งนั้น
เป็นเรื่องจริงอย่าทดลองเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากเป็น

การเบี่ยงเบนทางเพศไม่ใช่เรื่องไม่ดี
แต่ที่แน่ๆ เป็นเรื่องผิดปกติแน่นอน
คุณพ่อคุณแม่ดูให้ดีแล้วกัน

ปิดรายการด้วยการโชว์เพลงของคุณอนันต์ในรูปแบบ
ของจินตหรา พูลลาภ และเป็นไมค์ ภิรมย์พร

(ข้อมูลบันทึกโดย ไซเบอร์ฟิช มีเดีย, http://www.cyberfish-usa.com)

“Gay Romance” นิยายสุดโปรดของแม่บ้านอเมริกัน

พิเศษ

gay romance books

หน้าม่านมายา: “Gay Romance” นิยายสุดโปรดของแม่บ้านอเมริกัน
30 มีนาคม 2010 วิทยา แสงอรุณ

คุณเอ็มมี่ ฟรอส พยาบาลสาวจากฮาวายบอกว่า เธออ่านนิยายแนว Gay Romance ราวๆ 15-20 เล่มต่อเดือน (อะไรจะปานนั้น?)

“เวลาผู้ชายหล่อๆ สองคนถูไถกันไปมา ชั้นว่า มันเซ็กซี่จะตาย” เธอให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร LA Weekly เมื่อเร็วๆ นี้

นิยายแนว “เกย์โรแมนซ์” กำลังกลายเป็นอาหารจานใหม่ของนักอ่านชาวอเมริกันตั้งแต่ผู้หญิงวัยทำงานจนถึงแม่บ้านทั่วไป อายุระหว่าง 31-49 ซึ่งต่างจากตลาดของไทยนะครับ การ์ตูนญี่ปุ่นและนิยายเกย์วัยรุ่นมีนักอ่านที่ชื่นชอบเป็นวัยรุ่นเสียส่วนใหญ่ หรือไม่ก็เป็นวัยเพิ่งเริ่มต้นทำงาน เพราะตอนเรียนมัธยม พวกเธอก็อ่านการ์ตูนเกย์และนิยายแนวนี้จนติดงอมแงม

จริงๆ แล้ว นิยายแนวเกย์โรแมนซ์ของอเมริกันมีทั้งส่วนต่างและส่วนเหมือนกับเนื้อหาของการ์ตูนเกย์ญี่ปุ่นในแง่เนื้อหาและการนำเสนอ และที่แน่ๆ ก็คือ ทั้งนิยายเกย์โรแมนซ์อเมริกันและการ์ตูนเกย์จากญี่ปุ่นล้วนแล้วแต่มีผู้หญิงอ่านเป็นส่วนใหญ่ และเขียนโดยผู้หญิงเพื่อผู้หญิง โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเกย์มาอ่าน

ก้อเค้าไม่ได้จับตลาดเกย์นี่…

แล้วทำไมตลาดนี้ถึงโตวันโตคืน?

คุณผู้อ่านที่เป็นผู้ชายอ่านบทความนี้แล้วอาจจะงงๆ นะครับ แต่ลองนึกทบทวนดูนิดนึง คุณเคยชมหนังโป๊ที่ผู้หญิงสองคนมีอะไรกันมั่งใช่มั๊ย แล้วคุณรู้สึก “ฮ็อต” เปล่า? น่านแหละครับ นักวิจารณ์ให้ทัศนะว่า ผู้หญิงที่ชอบอ่านนิยาย “Gay Romance” ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายที่ชอบดูหนังโป๊!

แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นไปทั้งหมด ด้วยส่วนหนึ่ง ตลาดนิยายโรแมนซ์มูลค่ามโหฬารของสหรัฐมีผู้หญิงครองแชมป์เป็นผู้อ่านกลุ่มใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว เกินกว่า 90% ของนิยายประเภทนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นิยายแนวเกย์โรแมนซ์จะค่อยๆ เบียดตัว และถีบตัวเองขึ้นเป็นดาวเด่น แถมมาแรง ชวนติดตามซะด้วย

“Publishers Weekly” นิตยสารทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจหนังสืออเมริกัน เคยมีรายงานฉบับหนึ่งออกมาว่า กระแสตอบรับนิยายแนวนี้แรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับ และค่อนข้างจะร้อนขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดก็หลังจากหนังเรื่อง Brokeback Mountain ออกฉาย (2005) และเพิ่งปีที่แล้วนี่เอง ค่ายหนังสือชื่อดังที่ผลิตนิยายแนวโรแมนซ์ชาย-หญิงทั่ว่ไปอยู่แล้วอย่าง Running Press ก็เพิ่งตัดสินใจจับตลาดนี้อย่างจริงๆ จังๆ

แนวทางการตลาดของค่ายนี้ก็น่าสนใจทีเดียวครับ เขาเรียกนิยายแนวนี้ว่า “M/M” ซึ่งจะมีเนื้อหาสนุกสนาน พาฝันและมีความโรแมนติก

ตัวละครชายสองตัวจะมีความแมนด้วยอาชีพการงาน อย่างตำรวจ (มีเกย์แมนๆ เป็นตำรวจอยู่เยอะ) หรือไม่ก็ เป็นอาชีพที่มีความน่าตื่นเต้นแนวผจญภัยอยู่ในตัว เช่น นักสืบ ทนายความ บางแนวทางก็อาศัยจินตนาการสูงส่ง อย่าง “อาชีพแวมไพร์” หรีือเป็นอาชีพกัปตันเรือรบผู้เก่งกล้า แต่แล้วก็กลับมาศิโรราบให้กับนายทหารฝ่ายศัตรู…ซะฉิบ

หนังสือแนวเกย์โรแมนซ์ ไม่ได้เป็นหนังสือแนว “Erotica” ที่เน้นการบรรยายฉากร่วมรักซู่ซ่า อ่านแล้วเหงื่อซึมตามเนื้อตัว แต่จะเน้นฉากรักโรแมนติก แนว “softcore” แต่ก็ไม่หน่อมแน้ม ล่องลอย ไร้การบรรยายอย่างลุ่มลึกที่จะช่วยพาคุณผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงให้ “ร้อนๆ” ตามไปด้วย

ผู้บริหารของ Running Press บอกว่า ตำแหน่งทางการตลาดของนิยายแนวเกย์โรแมนซ์จะอยู่ในกลุ่ม
“นิยายโรแมนซ์” นั่นแหละ และถึงแม้ว่าจะมีฉากรักเร่าร้อนแนว “อีโรติก” ปน แต่ก็ไม่ได้ฮาร์ดคอร์จนเกินไป

นักเขียนหญิงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณแม่ลูกสองเล่าว่า เธอต้องใช้ชื่อผู้ชายในการเขียนหนังสือแนวนี้ เพื่อให้ดูน่าตื่นเต้นสำหรับผู้อ่านและถึงแม้แฟนคลับของเธอรู้ว่า เธอเป็นผู้หญิง ก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร เธอเล่าขำๆ ว่า ตอนที่สำนักพิมพ์หนึ่งรับพิจารณางานของเธอ สำนักพิมพ์แนะว่า น่าจะใส่ฉากร่วมรักอีกซักสี่ฉากนะ ถึงจะพิมพ์ให้

บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่ผู้หญิงหันมาเขียนนิยายแนวชายรักชาย และมีผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงส่วนใหญ่ เป็นภาพสะท้อนของข้อจำกัดตัวตนของการเป็นผู้หญิง เพราะอะไร? เพราะผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้ทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่การที่ผู้หญิงเขียนหนังสือ หรืออ่านหนังสือที่มีตัวละครเป็นผู้ชาย และ “กล้า” ที่จะรักกัน ถือเป็นการปลดปล่อยทางเพศ และทางอารมณ์ของผู้ถูกบังคับชีวิตส่วนหนึ่ง

หากจะมองในแง่เนื้อหาหลักแล้ว เกย์โรแมนซ์ ก็ยังคงความเป็นโรแมนซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการพื้นฐานทางธรรมชาติของผู้อ่านเพศหญิงอยู่ดี โดยเนื้อหาของหลายๆ เรื่องแล้ว จะพบว่า ผู้ชายสองคนจะประสบกับความยากลำบาก ต้องต่อสู้ฟาดฟัน “กว่าเราจะรักกันได้” และเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนจบ ก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ “Happily ever after” ก็เป็นสิ่งที่สมปรารถนาของผู้หญิงเช่นกัน ไม่ต่างอะไรจากโรแมนซ์ชายหญิงนี่นา?

ใช่ครับ แต่การสร้างตัวละครสองตัวเป็นชายทั้งคู่ และตกหลุมรักกันนั้น ถือว่า สร้างความหฤหรรษ์ทางกามารมณ์อย่างหนึ่ง นักวิเคราะห์บางท่านกล่าวว่า เวลาเราอ่านอะไร เราก็นำตัวเราไปแทนที่ตรงนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ผู้หญิงสามารถที่จะ “เข้าถึง” อารมณ์และแรงปรารถนาที่บรรยายอยู่ในหนังสือนั้นเช่นกัน ถึงแม้ตัวละคอนทั้งสองคนนั้น ไม่มีคนหนึ่งคนใดเป็นผู้หญิง หรือแสดงอาการเป็นผู้หญิงเลย

“อารมณ์โรแมนซ์ ในตัวมันเอง เป็นอารมณ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิงอยู่แล้ว” นักทฤษฎีท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็น
และที่น่าสนใจก็คือ การที่ผู้หญิงถูกสอนให้เป็นผู้ตามเสมอ และเป็นผู้ฟังที่ต้องเชื่อฟังเสมอแม้กระทั่งยามอยู่บนเตียง เพราะฉะนั้น สำหรับผู้หญิงหลายๆ คน เวลาได้ดูหนังโป๊ หลายกรณีอาจพบว่า พวกเธอจะคิดไปว่า เป็นผู้หญิง ยังไงๆ ก็คือ “ผู้ถูกกระทำ” หรือเป็นเพียง “เครื่องรองรับอารมณ์” ของผู้ชาย ผู้หญิงมักจะตกเป็น “เบี้ยล่าง” ในความสัมพันธ์กับผู้ชายอยู่เสมอ

จุดนี้เอง อาจช่วยอธิบายได้ว่า การที่ผู้หญิงหลายคนชอบอ่านนิยายแนวเกย์โรแมนซ์ ก็เป็นเพราะพวกเธอไม่รู้สึกโดยลดทอนความเป็นตัวตน หรือริดรอนสิทธ์ และอำนาจ แต่ในทางกลับกัน เธอรู้สึก ตัวเองมี power ขึ้นมาเช่นกัน

ตลาดนิยายเกย์โรแมนซ์ ในประเทศไทยกำลังค่อยๆ ขยายตัวขึ้นนะครับ ถ้าคุณเคยอ่านนิยายที่เขียนให้อ่านกันตามเว็บ ด้วยการจับตัวละครชายที่มีอยู่ในหนัง หรือในหนังสือชื่อดัง มาตกหลุมรักกัน นั่นแหละ โรแมนซ์ดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น
………………………
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men, FM 102 สี่ทุ่ม ทุกวัน อาทิตย์ http://www.facebook/vitayas

มือถือเลิกแอบ

พิเศษ

หน้าม่านมายา: 16 มีนาคม 2010 วิทยา แสงอรุณ

Dbug MenOnly: Dtac Blackberry User Group Men Only

Dbug Workshop by Dtac on March 6, 2010, Campus Room, The Erawan Hotel

เดี๋ยวนี้ ค่ายฮัลโหลออกบริการใหม่ๆ กันเยอะ “ซิมกันแดด” “เจ้าบุญทุ่ม” ฯลฯ ฟังชื่อแล้ว ตัองเลิกคิ้วตาม แต่เท่าที่ปล่อยๆออกมา ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้มี “innovation” อะไรใหม่ๆ หากจะให้ชวนฉงน น่าค้นหายิ่งกว่าแล้วละก้อ ต้องอันนี้เลย

“ซิมเลิกแอบ!”

อะฮ่า! คุณผู้อ่านครับ ใครใส่ซิมนี้เข้าไปปุ๊บ เลิกแอ๊บปั๊บ จะเป็นไปได้มั๊ยเนี่ย? แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ไม่ว่าบริษัทฮัลโหลค่ายไหนคงต้องคิดแล้วคิดอีกว่า จะมีกี่คนกล้าไปซื้อซิมพรรค์นี้มาใช้? เกย์ไทยน่ะขี้อายจะตาย?

น่าแปลกนะครับ ขณะที่ชาวต่างชาติมักมองว่า เมืองไทยเป็นสวรรค์ของเกย์ กะเทย ทอม ดี้ แต่คนกลุ่มนี้มักนิยมเล่นซ่อนแอบมากกว่าจะอยู่ในไฟสว่าง น้อยนักที่จะเห็นอานิสงส์ของการอยู่อย่างไม่กลัว น้อยนักอยากจะเปิดเผยให้รู้ว่า มีฉันอยู่ตรงนี้อีกคน (เปิดเผยในที่นี้หมายถึง ยอมรับและไม่กลัวคนรู้ว่าเป็นเก้งเป็นกวางนะครับ ไม่ใช่ต้องป่าวประกาศ)

พอไม่มีการยอมรับตัวเองและไม่มีการแสดงตัวตนออกมา เหล่ากุมาราเกย์ และกุมารีเลสเบี้ยนก็เลยเป็นประชากร
ที่สังคมมักจะมองไม่ค่อยเห็น เป็นพวกล่องหน ยกเว้นกรณีที่ว่า ถ้าคุณเป็นกะเทย พอคุณแต่งหญิง หรือคุณตัดสินใจแปลงร่าง ผ่าหรือเฉาะตามชอบ คุณก็ไม่มีอะไรต้องแอบอีกต่อไป

ทีนี้ หากสังคมใดมีคนแอบมากๆ เข้า สังคมนั้นก็จะไม่มีวันได้เห็น ไม่เกิดการเรียนรู้ ไม่เกิดการสื่อสารพูดคุยให้เข้าใจกัน พอเกิดปัญหาอะไร ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไง อคติมีอยู่ไปทั่ว เพราะเจ้าตัวไม่รู้จักใช้สิทธิ์ของตัวเอง

ในแง่การตลาดและการบริการ ผู้ให้บริการก็จะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่า ลูกค้าอย่างคุณต้องการอะไร ก้อคุณไม่เคยปรากฏตัวให้เค้ารู้ ก้อคุณไม่เคยเรียกร้องอะไร แต่เมื่อเร็วๆ นี้ บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น

ผมคงต้องขอบคุณเจ้าเครื่อง O2 ที่ใช้มานานจนพังไปคามือ ผมเคยคิดว่าจะไม่ใช้สมาร์ทโฟนอีกแล้ว เพราะไม่เคยใช้คุ้ม แต่แล้วก็อดไม่ได้ พอค่ายดีแทคนำ Blackberry มาขาย ก็ให้กระหายอยากลอง

แล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะใช้ Blackberry เพื่อมา “บีบี” แบบชาวบ้านเค้า ทีนี้ล่ะคุณเอ๊ย อารมณ์อยากลองพุ่งเลยล่ะ ถ้าใครใช้ Blackberry แล้ว ไม่มีคนมาแชทกับคุณ คุณจะเสียดาย แล้วอยากปามันทิ้ง (แต่ก็หลายตังค์อยู่นะ) แต่ผมก็เริ่มสนุกขึ้น วันๆ เอาแต่เสาะแสวงหาญาติมิตร ทั้งท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังมาร่วมแชท จะใช้บีบีให้มันคุ้มไงล่ะคุณ!

เวลาเดือนเศษ ผมควานมาได้ประมาณสามสิบคน (เฉลี่ยวันละคน เชียวนะคุณ นี่ขนาดไม่ตั้งใจ!!) ก็มีมาจากทั้งสามค่ายล่ะครับ แล้ววันหนึ่ง ผมก็คิดอะไรขึ้นมา “ดีแทคเค้าเพิ่งเอา Blackberry มาขาย แต่ตอนนั้น ดูเหมือนเค้าจะตั้งใจขายลูกเดียว ไม่เห็นจะสนใจลูกค้าที่ซื้อไปแล้วว่าจะเป็นยังไง แล้วหากผมเกิดรวบรวมลูกค้า BB ของเค้า แล้วไปขอให้เค้าช่วยจัดเทรนนิ่งการใช้เครื่องให้ล่ะ เค้าจะจัดให้มั๊ย?”

ผมกลับมานับคนในก๊วนที่ใช้ค่ายดีแทค ผมหามาได้ 11 คนเอง ช่างน้อยนิด จะไปขออะไรให้ใครช่วยได้? แต่ผมคิดว่า น่าจะได้ถึงยี่สิบ ถ้าผมขยันกว่านี้ ตอนนั้นแค่คิดน่ะครับ เพราะพอถามเพื่อนฝูงดูทีไร พวกมักก็ตอกย้ำว่า ทำไมไม่ไปรวบรวมไพร่พลคนใช้บีบีของค่ายเจ้าตลาดล่ะ เกย์ที่ใช้บีบีของค่ายเอไอเอสน่ะ เพรียบ หาไม่ยาก”

ก็จริงครับ แต่ผมเชื่ออยู่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ดีแทคเป็นเบอร์สอง เค้าต้อง “Try harder” สิ!

คุณผู้อ่านที่เป็นนักการตลาด เคยคิดมั๊ยว่า หากต้องนับเกย์ที่เป็นคอนซูมเมอร์ หรือลูกค้าของคุณ คุณจะทำได้ยังไง? ผมไม่แน่ใจว่า ผมคิดถูกหรือเปล่า อยากจะเสนอคุณๆ ว่า ลองนับจากจำนวนมือถือดูสิ ผมนี่แหละคนหนึ่งที่อยากจะนับ

แล้ววันหนึ่ง ในงานประจำปียิ่งใหญ่ขายมือถือที่ศูนย์สิริกิติ์ คงเป็นโชคดี ได้เจอผู้บริหารหนุ่มหล่อของค่ายดีแทคที่ดูแล Blackberry พอดีเลย สบจังหวะนั่งลงคุย ผมบอกความประสงค์ท่านว่า ต้องการความช่วยเหลือ เพราะใช้เจ้าบีบี ไม่ค่อยจะเป็น และตอนนี้ผมมีก๊วน สมาชิกไม่เยอะหรอกครับ ดีแทคพอจะช่วยจัดเวิร์คช้อปหรือเทรนนิ่งให้ได้มั๊ย? ค่ายโน้นเค้ายังทำเลย (เน้นหน่อย)

ท่านผู้บริหารฟังแล้ว ก็รับปากในทันที แล้วผมก็บอกว่า “ก๊วนผมชื่อดีบัค (DBUG: Dtac Blackberry User Group for Men Only) น่ะครับ และที่สำคัญสมาชิกทุกคนของผมเป็นเกย์ที่เป็นลูกค้าของคุณมานานแล้ว” ว่าแล้ว ผมก็ควักบีบีพร้อมโชว์โลโก้ก๊วนผมที่หน้าจอให้ท่านดู ก่อนจะลาจาก ขออีกนิด ไหนก็ไหนๆ เลยบอกท่านไปด้วยว่า “ยังไงๆ ถ้าจะจัดให้ ก็ขอเทรนเนอร์หล่อๆ ด้วยนะ”

อีกไม่กี่วันต่อมา (หลังจากใช้กำลังภายในโทรหาคนโน้นคนนี้ให้ช่วย) ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่จากดีแทคว่า “จะจัดสิ่งที่ต้องการให้” คุณผู้อ่านครับ วันนั้น ผมคิดว่า สิ่งที่แชทๆ ไปกับสมาชิกก๊วนผม มันกำลังมีค่ามากกว่าแค่แชทไปวันๆ

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา ดีแทคใจดี…จัดให้ พวกเรา 17 ชีวิต (จากสามาชิก 23 คนแล้ว) ไปพบกันที่โรงแรมเอราวัณ ห้องแคมปัสสุดสบาย ได้นั่งเรียนรู้การใช้บีบีอย่างสนุกสนาน เพลินละสิครับ มีเทรนเนอร์น่ารักอยู่หลายคนนะคุณ

แล้ววันนั้น งานก็จบลงอย่างแฮปปี้ (ผมไม่ได้ค่าโฆษณานะ ขอยืนยัน)

ผมคิดว่า เราทุกคนย่อมมีจุดเริ่มต้น และเมื่อถึงเวลาต้องทำอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่มีคนทำ ก็ขอให้ตั้งใจทำ และสิ่งที่ค่ายมือถือทำครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะต้องมาเอาใจก๊วนเกย์อย่างพวกผม แต่เพราะเราก็เป็นลูกค้าเหมือนกัน เหมือนกับอีกหลายล้านคนที่ได้รับการดูแล ไม่ว่าจะเป็นงานรวมพลคนโสด งานดูหนังวันวาเวนไทน์ ผู้ให้บริการสิต้องหันมาถามว่า เคยให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกๆ กลุ่มหรือยัง?
………………………
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men, FM 102 สี่ทุ่ม ทุกวัน อาทิตย์ http://www.facebook/vitayas

คลิปรายการ “เปลี่ยนประเทศไทย” ตอน ความหลากหลายทางเพศ

พิเศษ

Change Thailand: Vitaya, Mantana, Naiyana, Pynyo

Change Thailand: ความหลากหลายทางเพศ

คลิป รายการเปลี่ยนประเทศไทย ถกประเด็น LGBT
ออกอากาศ 24 ก.พ. 2553
ประเด็น “ความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย”

ผู้ร่วมรายการ:
วิทยา แสงอรุณ (ฺBangkok Radio For Men FM102),
มันทนา อิศยเทพกุล lesla.com,
และนัยนา สุภาพึ่ง ผู้อำนวยการมูลนิธธีรนาถ กาญจนอักษร
(อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน)

Part 1: http://www.youtube.com/watch?v=v8bOdi2drTE
Part 2: http://www.youtube.com/watch?v=zChGJK8GBa0
Part 3: http://www.youtube.com/watch?v=2-cIPNHKrVE
Part 4: http://www.youtube.com/watch?v=9YmqY_1P7PI
Part 5: http://www.youtube.com/watch?v=c942JynHJHE

เมื่อรักสุกงอม เกย์/เลสฯ ก็อยากแต่งงานเหมือนกัน

พิเศษ

Gay marriage

Gay Marriage Battle in California

หน้าม่านมายา 2 มี.ค. 2010 วิทยา แสงอรุณ

เดือนที่แล้ว วันที่ 14 ก.พ. เหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นสองแห่งโดยบังเอิญ

หญิงรักหญิงสองคู่จูงมือกันไปขอแต่งงาน คู่แรกที่ปทุมธานี อีกคู่ที่เชียงใหม่ ทั้งสองคู่โดนปฏิเสธ เหมือนๆ กัน

เจ้าหน้าที่บอกว่า จดทะเบียนให้ไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ คู่ปทุมธานีบ่นรู้สึกผิดหวัง ส่วนคู่เชียงใหม่ชิลๆ บอกว่า รู้อยู่แล้ว ไม่ได้ผิดหวัง แต่อยากรู้ว่า ภาครัฐจะทำอะไรให้มั่งมั๊ย?

คุณผู้อ่านรู้สึกยังไงกับข่าวนี้?

“เรื่องไม่เป็นเรื่อง” “แต่งไปทำไม เดี๋ยวก็หย่ากัน” “อายเค้าน่า” “เพี้ยน พิสดาร” ??!??

การแต่่งงานของคนเพศเดียวกันกำลังเป็นกระแสมาแรงทั่วโลก ทั้งกระแสเชิงสังคม เชิงธุรกิจ และกระแสการเมือง ถ้าดุเด็ดเผ็ดมันที่สุดก็ต้องยกให้ที่เมืองลุงแซมนั่นแหละ

ที่นั่น เกย์และเลสเบี้ยนต่อสู้ฟาดฟันเพื่อให้ได้สิทธิ์รับรองทางกฎหมายมาตลอด ย่ิงในช่วงสองสามปีหลังมานี้ จะสังเกตเห็นได้ว่า เหตุการณ์เข้มข้นขึ้นเป็นลำดับนับตั้งแต่สมัยรัฐบาลบุชออกโรงต่อต้านการแต่งงานและการรับรองสถานะทางกฎหมายของคู่รักเพศเดียวกัน โดยมีกลุ่มศาสนาอย่างมอร์มอนเป็นถุงเงินสำคัญให้เงินไม่อั้น (แต่ถ้าคุณถามหนุ่มๆ มอร์มอนที่ขี่จักรยานไปทั่ว พวกเขาจะปฏิเสธ)

บนพื้นที่สื่อ แคมเปญแย่งชิงเสียงสนับสนุนผ่านสื่อของ “ฝ่ายอยากแต่ง” กับ “ฝ่ายห้ามแต่ง” แรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นซื้อแอดโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์และทางทีวีโจมตีกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ใครว่างๆ ลองคลิกยูทูปดู หาคำว่า gay marriage แล้วนั่งดูแคมเปญโจมตีกัน ไม่แน่ คุณอาจได้ความคิดใหม่ๆ ไปใช้ในงานสร้างสรรค์ที่ออฟฟิศ

ในเชิงธุรกิจ กิจการแต่งงานไม่เพียงแต่ทำให้ Wedding Studio มีรายได้ไหลมาเทมา ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

รัฐบาลแคนาดา และอัังกฤษ รวมถีงอีกหลายประเทศถึงกับลงโฆษณาในนิตรสารและช่องทางสื่อสำหรับเกย์และเลสเบี้ยน ชักชวนให้คู่รักเพศเดียวกันมาแต่งในประเทศตนแล้วฮันนีมูนเสร็จสรรพ ถึงแม้จะไม่มีผลทางกฎหมายในประเทศบ้านเกิดก็เถอะ

หากมีใครไล่เลียงแจกแจงผลประโยชน์ที่คู่แต่งงานได้รับ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่อยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้ตีทะเบียน จะพบเรื่องที่ไม่รู้แต่น่ารู้อีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องลดหย่อนภาษี ทั้งเรื่องสุขภาพ และการรับรองการใช้ชีวิตสารพัด

เสียดายยังไม่เคยมีใครแจกแจงเรื่องนี้ในเมืองไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเกย์และเลสเบี้ยนไทย เพิ่งจะเริ่มรู้ว่า ตัวเองก็มีสิทธิ์เหมือนเพื่อนชายหญิงที่จบมาจากโรงเรียนเดียวกัน หรือจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน และตอนนี้ก็ได้แต่งงาน มีลูกไปแล้วหลายคน

การจดทะเบียนสมรสอาจไม่ใช่สิ่งที่ทุกคู่ต้องการ แต่การจดทะเบียนสมรสเป็นสิทธิ์ที่พลเมืองทุกคนควรมี เกย์และเลสเบี้ยนไม่ได้เรียกร้องอะไรที่เหนือกว่า หรือมากกว่า ประชาชนพลเมืองทั่วไป และเมื่อมีสิทธิ์ พวกเขาและเธอก็จะเลือกที่จะจดหรือไม่จด จะอยู่ด้วยกันเฉยๆ เหมือนเดิมก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไร

และผมคิดว่า ไม่จำเป็นต้องเรียกว่า การจดทะเบียนเหมือนคู่ชายหญิง จะเรียกว่าอะไรก็ได้แต่มีผลรับรองทางกฎหมายใกล้เคียงหรือเสมอกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ของรัฐด้วยซ้ำที่จะต้องดูแลและแสดงความรับผิดชอบพลเมืองกลุ่มนี้ที่ถูกละเลยและถูกเลือกปฏิบัติมาโดยตลอด

ตกลงแล้ว การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน หรือเป็นกิจการที่ผู้อื่นจำเป็นต้องคัดค้านด้วย?

ในปีนี้ เราอาจจะได้เห็นการจัดงานแต่งงานหมู่ของคนเพศเดียวกัน ซึ่งน่าจะเป็นการจัดครั้งแรกของประเทศไทย ขณะนี้มีหลายคู่แล้วที่แสดงความจำนงอยากจะเข้าร่วม แชร์ค่าใช้จ่ายกัน และขณะเดียวกัน ก็ให้สังคมได้รับรู้ด้วยว่า คนเพศเดียวกันก็รักกัน และอยากมีครอบครัวที่ได้รับการรับรองจากญาติพี่น้องและผองเพื่อนเหมือนกัน

ถ้าคุณเป็นคู่เพศเดียวกัน และคิดว่า จะอยู่ด้วยกันไปจนตาย หมดความกลัว หมดความกังวลว่า ใครจะคิดยังไงกับความรักของคุณแล้ว คุณน่าจะไปร่วมงานแต่งงานหมู่กับคู่อื่นๆ นะครับ

ลองวาดภาพดู ไม่เพียงคุณและคุณจูงมือกันวิวาห์ และมีเพียงญาติคุณและคุณมางาน แต่มีญาติชาวบ้านอีกนับร้อยมางานของคุณ ผมว่า น่าสนุกและตื่นเต้นกว่าการแต่งหมู่ของคู่ชายหญิงเป็นไหนๆ เพราะคู่ชายหญิงส่วนใหญ่คงไม่ได้ฝ่าฟันดิ้นรน สู้อคติในสังคม เพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนกับคุณและคุณ

ถึงแม้ ทางการจะไม่มีอะไรมารับรองทางกฎหมาย แต่ทางสังคม คุณได้แล้ว เต็มๆ

ปีหน้า วันวาเลนไทน์ ผมฝันไปว่า จะไม่มีแค่คู่รักสองคู่ไปที่ปทุมธานีและเชียงใหม่อีกครั้ง และไม่ใช่จะมีแต่คู่หญิงรักหญิง แต่จะมีคู่รักเกย์-เกย์ กะเทย-ผู้ชาย ทอม-กะเทย หรือทอม-ทอม หรือคู่ที่ไม่ใช่ชายและไม่ใช่หญิงที่รู้สึกถึงความรักที่อยู่ตัว มั่นคงในรักและในคู่ของตนหลังดิ้นรนเพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน จูงมือกัน ไปขอจดทะเบียนในทุกจังหวัด

เมื่อคุณแสดงตัวออกมา คนในสังคมถึงจะเห็นคุณ และพวกเขาก็จะรู้ว่า ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องแสนจะธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะแต่งงานเหมือนกัน

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th Facebook: http://www.facebook.com/vitayas อีเมล์ vitayamail@gmail.com

เมื่อเหล่าเกย์ Face-off บน Facebook

พิเศษ

หน้าม่านมายา 16 ก.พ. 2010 วิทยา แสงอรุณ

เฟซบุ๊คไม่เพียงช่วยให้คุณหาเพื่อนนุ่งกางเกงขาสั้น คนที่เคยโดดยางสมัยผูกคอซอง หรือกระทั่งหากิ๊กเก่าสมัยยังเยาว์ได้อย่างง่ายดาย แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นพื้นที่ที่เหล่าเกย์ทั่วโลกใช้ประกาศตัวตนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงคนไทยรุ่นใหม่ที่เป็นเกย์และอายุยังไม่ถึง 30

คุณผู้หญิงที่คิดจะ Add คุณผู้ชายซักคนเพราะเห็นรูปแล้วเกิดปิ๊งกะทันหัน ดูราศีแล้วมีแนวโน้มว่าน่าจะจีบได้ ก็สามารถแตะเบรคนิดนึงก่อนจะกดปุ่มขอ “Add as Friend” ที่อยู่ด้านขวามือของหน้าหล่อๆ นั้น โดย:

ลองสังเกตรูปภาพของบรรดาเพื่อนๆ ที่เขามีอยู่ ดูซิว่า ในจำนวนนั้น มีรูปผู้ชายมากกว่ารูปผู้หญิง?

ในช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะผู้คนเพิ่งจะเริ่มทยอยย้ายบ้านจาก hi5 มาเล่นเฟซบุ๊ค หลายๆ คนเลยยังไม่ค่อยมีเพื่อนเข้ามาเป็นเรือนพันเรือนหมื่นเหมือนตอนเล่นอยู่ใน hi5 กัน จึงไม่น่ายากสำหรับคุณผู้หญิงหากจะลองสังเกตสักนิดว่า เป้าหมายชายคนนั้นมีเพื่อนเพศไหนมากกว่ากัน?

เรียกได้ว่า เป็นการสังเกตแบบปฐมภูมิ

อีกระดับหนึ่ง ใต้รูปภาพโปรไฟล์ของชายหนุ่มเป้าหมาย คุณจะเห็นหัวข้อ “Information” ซึ่งเฟซบุ๊คอนุญาตให้ผู้สมัครเลือกที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวอย่างไรก็ได้ บางคนระบุข้อมูลเพียงสั้นๆ ราวกับไม่มีตัวตนมาก่อนในโลกนี้ และบางคนก็น้อยมากจนคนไม่ขอแอด เพราะไม่รู้จะเริ่มคุยด้วยยังไง (แล้วจะขอแอดไปทำไม?)

และมีอีกหลายคนที่เปิดเผยมาก รวมไปถึงให้ข้อมูลที่ระบุไว้เปรี้ยงๆ ไปเลยว่า ตอนนี้ “ชั้นคบกะใครอยู่” ซึ่งดูได้ตรงที่เขาเขียนว่า Relationship Status: In a Relationship with ..ตามด้วยลิงก์ที่เป็นชื่อของบุคคลอีกคนหนึ่ง ลองดูชื่อซิว่า ชื่อผู้หญิงหรือชื่อผู้ชาย

ไหนๆ ก็ไหนๆ คุณก็ควรจะคลิกลิงก์นั้นซักนิดหนึ่งเพื่อจะดูว่า ใครนะเป็นแฟนกับหนุ่มคนนี้ที่คุณหมายปอง ไม่แน่ …คุณอาจจะได้เจอหน้าแฟนเก่าของคุณ (อันนี้ผมล้อเล่น เพราะคงไม่มีเหตุการณ์บังเอิญขนาดนั้น อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป แต่ถ้าเกิดใช่ คุณก็จะได้รู้ซะทีว่า ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงเลิกกับคุณโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน หรืออยู่ๆ ก็หายไป)

ในส่วน Information นี้ คุณอาจจะคลิกตรงเข้าไปได้เลย โดยดูบรรทัดที่มีลิงค์ใต้ชื่อเจ้าของเฟซบุ๊ค ต้องเรียกได้ว่า จุดนี้เอง ถือเป็นพื้นที่ประกาศตัวตนอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากของคนเป็นเกย์ เพราะหัวข้อย่อยหนึ่งในนั้นคือ “Interested in”

ถ้าเขาระบุว่า “Men” ก็คงไม่ต้องเดาอีกต่อไปว่า เขาชอบเพศเดียวกันหรือต่างเพศ คงไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกนะครับที่ไม่ได้เป็นเกย์ และเลือกที่จะระบุว่า Interested in “Men” แต่ถ้าเค้าระบุว่า Interested in “Men and Women” ก็ไม่ต้องงงนะครับว่าจะเอากันแน่

คนที่ระบุอย่างนี้ ในความเห็นผมนะครับ ไม่มีสถิติใดรองรับ แนวโน้มจะเลือก Interested in “Men” ซะมากกว่า เพราะครั้นจะระบุเพียง “Men” ไม่มี “Women” ก็อาจจะโปร่งใสเกินไป ไหนๆ มชีวิตคลุมเครือตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ของคลุมเครือของฉันต่อไป

สำหรับผมแล้ว อาจจะไม่ถูกทั้งหมดที่ไปเหมารวมเอาว่า ชายผู้ใดที่ระบุว่า Interested in “Men and Women” จะเป็นเกย์ซะหมด เขาผู้นั้นอาจจะเป็น “ไบเซ็กช่วล” คือ รักได้ทั้งสองเพศ แต่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าไม่น้อย เป็นเกย์นั่นเอง แต่พวกเขายังไม่สบายใจที่เปิดเผยให้ใครๆ ได้รับรู้ ก็เป็นสิทธิ์ของเขาเอง

งั้นคุณผู้อ่านที่เป็นผู้หญิง ก็ควรใช้วิจารณญาณในการรับชมและถามตัวเองว่า เวลาเจอใครที่บอกว่า “​Interested in Men and Women” คุณอยากจะจีบมั๊ย เพราะคุณจะมีคู่แข่งในอนาคตเป็นสองเท่าเลยนะ ทันทีที่คุณได้จีบผู้ชายคนนี้

ถ้าสังเกตจากบรรดาเพื่อนๆ ที่เขามีอยู่ในลิสต์ก็แล้ว สังเกตจาก เซคชั่น Information ก็แล้ว ยังไม่มีตัวบ่งชี้ว่า เขาเป็นผู้ชายสายพันธุ์พิเศษหรือเปล่า คุณอาจจะลองดูอีกจุดหนึ่ง ที่เซคชั่น Pages ดูซิว่า เขาเข้าเป็นแฟนคลับของเพจใดบ้าง

ถ้าเป็น Page อย่างเดวิด เบคเคม ก็ยังธรรมดาอยู่ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ถ้า Pages อย่างแดเนียล วู ดาราหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-จีนละสิ เริ่มเข้าเค้า

ในบางประเทศที่ยังคงเกลียดเกย์สุดๆ ก็ใช้เฟซบุ๊คนี่แหละ ตามล่าหาคนเป็นเกย์ บริษัทบางแห่งก็อาศัยเฟซบุ๊คในการสังเกตพฤติกรรมและทัศนคติของลูกจ้าง เพราะฉะนั้น สิทธิส่วนบุคคลหรือความต้องการมี “Privacy” หรือความเป็นส่วนตัว เมื่อพูดถึงโลกออนไลน์แล้ว “ไม่มี” เพราะใครๆ ก็เข้าถึงข้อมูลได้

ว่างๆ คุณลองเสิร์ชชื่อของคุณเองดูในกูเกิ้ลดู คุณอาจจะเจอรหัสนักศึกษาของคุณ และคณะที่สังกัด เผลอๆ คุณจะได้เจอใบเกรดตอนเรียนจบ แล้วมีเอฟติดหราในบางวิชาให้คุณอาจะช้ำใจได้อีกครั้ง

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th Facebook: http://www.facebook.com/vitayas อีเมล์ vitayamail @ gmail.com

นะยะ 2010

พิเศษ

นะยะ 2010 หน้าม่านมายา กรุงเทพธุรกิจ วิทยา แสงอรุณ

ละครเวทีเรื่องดังเมื่อยี่สิบสามปีที่แล้ว “ฉันผู้ชายนะยะ” กำลังกลับมาลงโรงอีกครั้งหนึ่งโดยผู้สร้างและทีมนักแสดงชุดเดิมเกือบทั้งหมด ด้านฝีมือการแสดงชองนักแสดง คงไม่เป็นคำถาม เพราะบัดนี้ แต่ละท่านเข้าขั้นชั้นครูแห่งวงการบันเทิงแล้วทั้งสิ้น

ที่น่าติดตาม ก็คือ คนดูในยุคปัจจุบัน ทั้งที่เป็นเกย์ และเป็นคนดูทั่วไปรู้สึกอย่างไรกับเนื้อหาของละครเรื่องนี้?

“ฉันผู้ชายนะยะ” ดัดแปลงมาจากบทละครอเมริกัน ชื่อ The Boys in the Band ละครนอกวงจรบรอดเวย์ (Off-Broadway) หมายถึง ไม่ได้เล่นในย่านถนนบรอดเวย์ ซึ่งเป็นถิ่นโรงละครดังในนิวยอร์ค แต่เป็นโปรดักชั่นเล็กๆ มีตัวละครเป็นเกย์เป็นหลัก และไม่ได้คาดหวังว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่เกย์จะให้ความสนใจ แต่กลับสร้างความฮือฮา เล่นซ้ำเป็นพันรอบเมื่อ 40 ปีที่แล้ว และต่อมาอีกไม่กี่ปี ก็ทำเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน โดยมีนักแสดงชุดเดิม และเนื้อหาเหมือนเดิมเกือบทั้งหมด

เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนเกย์ที่มาร่วมงานวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่ง โดยมีของขวัญวันเกิดชิ้นหนึ่งเป็น “ผู้ชายขายแรง”เขาเซ็กซี่ หล่อล่ำ แต่ไม่ค่อยมีมันสมอง ขณะที่งานปาร์ตี้วันเกิดดำเนินไปด้วยบทสนทนาโต้ตอบเผ็ดมันจากผองเพื่อน ตัวละครแต่ละตัวเผยชีวิตด้านมืดของตัวเอง เนื้อหาทวีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อเจ้าของงานวันเกิด ท้าทายให้เพื่อนๆ เล่นเกมๆ หนึ่ง ด้วยการยกหูโทรศัพท์ไปหาบอกรักคนที่รัก และพูดความจริงอะไรบางอย่างให้คนอื่นได้รับรู้

The Boys in the Band ไม่ใช่ละครตลกล้อเลียนคนเป็นเกย์ หรือคนที่แตกต่างเพื่อความฮา เอามัน “ไปวันๆ” แต่ตั้งคำถามเรื่องชีวิตของคนเป็นเกย์ และเสียดสี “ตัวเอง” ได้อย่างแสบสันต์ กระชากความรู้สึกเบื้องลึกของคนกลุ่มนี้ และเผยให้เห็นถึงความรู้สึกผิดหวัง ชิงชัง และ “ขมขื่น”

ถ้าคุณติดตามสื่อที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ เกย์ กะเทย ไม่ว่าสื่อบันเทิงในรูปละครหลังข่าว หรือหนังฉายโรง คุณจะพบความแตกต่างในการคิดของคนที่ทำสื่อที่เป็นเกย์และคนทำสื่อที่ไม่ได้เป็นเกย์

อะไรคือความพอดี อะไรคือเสียดสี แต่ไม่ได้ย่ำยี?

ความยากมันอยู่ตรงนี้แหละ

ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ดัดแปลงบทเป็นภาคภาษาไทย และผู้กำกับ และแสดงในเรื่องนี้ด้วย ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ละครเรื่องนี้ ไม่ตกยุคสมัยแน่นอน เพราะเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อละครเรื่องนี้เล่นที่โรงละครของโรงแรมมณเฑียร ต้องเรียกว่า เป็นละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์ และมีความ “ล้ำยุค” กว่าสภาวะแวดล้อมและความเข้าใจของคนในสังคมไทย และเมื่อนำมาเสนออีกครั้งในพ.ศ. นี้ ต้องบอกว่ “ทันยุค” พอดี
ความล้ำยุค หรือทันยุค คงไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ ปัจจัย “เวลา” ของท้องเรื่องว่า นำเสนอเหตุการณ์ สถานการณ์ และรายละเอียดเป็นปัจจุบัน ด้วยค่านิยม ทัศนคติ และความเชื่อของคนในปัจจุบัน หรือนำเสนอเหตุการณ์ ย้อนยุค?

แต่อยู่ที่ “แนวความคิด” ที่แฝงอยู่ในบทสนทนา การแสดงออก และทัศนคติของตัวละคร รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นมุข แก๊กตลก หรือองค์ประกอบฉาก และทั้งหมดนี้ รวมเป็นภาพสะท้อนตัวตน และวิธีคิดของผู้สร้างและผู้ทำบท
เพราะบทละครเรื่องนี้เป็นบทดัดแปลง ไม่จำเป็นต้องเหมือนต้นฉบับทุกกระเบียดนิ้ว

และในปีพ.ศ. 2010 นี้ เชื่อว่า “ฉันผู้ชายนะยะ” คงไม่ใช่ “ฉันผู้ชายนะยะ” เหมือนเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วทั้งหมด เพราะค่านิยม ทัศนคติ และการแสดงออกของเกย์ในยุคนี้ มีแง่มุมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้น่าจะช่วยให้สังคมปรับความเข้าใจเกี่ยวกับคนเป็นเกย์ได้ดีขึ้น และเป็นไปในทิศทางที่ “สร้างสรรค์” มากกว่าจะให้คนดูรู้สึกขมขื่น และตื่นตกใจกับด้านมืดของตัวเอง หรือที่ตัวเองก็เคยทำ

และจะน่าสนใจยิ่งกว่านั้น ก็คือ คนดูที่ไม่ได้เป็นเกย์ น่าจะมีโอกาสเข้าใจชีวิตของคนเป็นเกย์มากขึ้น หันมาตั้งคำถามเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ และการพูดความจริง โดยไม่ต้องมองผ่านแว่นตาแห่ง “ความสงสาร” และ “ความเห็นใจ” คอยตบหลังตบไหล่คนเป็นเกย์ ยามที่พวกเขามีปัญหา แล้วพร่ำบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก เป็นคนดี ก็พอนะ”

“ฉันผู้ชายนะยะ” จะจัดแสดง 16 รอบ เริ่ม 29 มกราคม 2553 แสดงทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ณ โรงละครอักษรา คิงพาวเวอร์ (ซ. รางน้ำ) นำแสดงโดย “ชลิต เฟิ่องอารมณ์ , มารุต สาโรวาท , วสันต์ อุตตมะโยธิน, เดย์ ฟรีแมน, สมชาย เข็มกลัด, ธิตินันท์ สุวรรณศักดิ์ , และ อาชัญ ชัยสุวรรณ เขียนบท, กำกับการแสดง และร่วมแสดง โดย “ดร.เสรี วงษ์มณฑา” รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับ “โครงการคืนชีวิตให้พ่อแม่เพื่อลูกน้อยที่ปลอดเอดส์” สภากาชาดไทย ในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์-เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ บัตรที่ไทย ทิกเก็ต เมเจอร์ 02-2623456 http://www.thaiticketmajor.com ราคา 2,000 / 1,500 / 1,200 / 1,000 / 800 และ 500 บาท
………………………
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ และผู้จัดรายการวิทยุ Bangkok Radio For Men, FM 102 สี่ทุ่ม ทุกวันอาทิตย์ http://www.facebook/vitayas หรือที่ wordpress: https://vitayas.wordpress.com email: vitayamail แอ้ด gmail.com

สวัสดีครับขอความเห็นนิดนึง

พิเศษ

เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และผู้อ่านที่รักครับ

ขอบคุณที่ติดตามกันมาโดยตลอด
อัพช้ามั่ง หายหัวมั่ง ตอบช้ามั่ง
แต่ไม่มีใครโกรธเลย
รู้สึกดีจริงๆ ครับ

ตอนนี้กำลังคิดว่า จะทำยังไงให้ชีวิตตัวเอง
ดีขึ้น ทำงานมากขึ้น ในเวลาที่น้อยลง

เลยคิดว่าจะนำ blog นี้ไปรวมอยู่ใน facebook
เพื่อการอัพเดทที่เร็ว จะต่อเนื่องกว่านี้น่ะครับ
อยากทราบความเห็นว่า คิดยังไงกัน
เท่าที่ลองใช้ๆ ดู ก็มี pages ที่มี discussion
ิboard ที่ดี ทุกๆ คนก็ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้
ดีกว่าจะคุยกะกระผมเพียงคนเดียว อยากให้สังคมเล็กๆ นี้
มีคนที่สนใจข่าวสารและแลกเปลี่ยนกันแบบนี้ต่อไปครับ

facebook: http://www.facebook.com/vitayas

ฝากความเห็นไว้ได้ หรือจะส่งเมลมาก็ได้นะ
vitayamail@gmail.com

รักคนอ่าน
วิทยา แสงอรุณ

จูบนี้คืนสนอง

พิเศษ

หน้าม่านมายา 22 ธ.ค. 2009 วิทยา แสงอรุณ

ตอนที่อดัม แลมเบิร์ทคว้าหนุ่มคีย์บอร์ดมาแล้วจูบปากจ๊วบใหญ่ เขาบอกว่า ไม่รู้ตัว และไม่ได้ตั้งใจ แต่เพราะ “เพลงพาไป” ถ้าเป็นเวทีละคอนบรอดเวย์ หรือช่วงงานเกย์พาเหรด เขาคงไม่โดนกระแสโจมตีทั่วบ้านเมืองมะกันแบบนี้แน่ๆ

แต่ยกนี้เกิดบนเวทียักษ์ใหญ่ในงานแจกรางวัลประจำปีของ American Music Awards 2009 (AMA) เขาเป็นช่วงไฮไลท์ของงานที่ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ และมีการตีฆ้องร้องป่าวให้เตรียมจับตาดูการแสดงเพลงเปิดตัวอัลบั้มใหม่ของนักร้องน้องใหม่ที่เพิ่งผ่านเวที Amercian Idol มาหมาดๆ

AMA จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน มาถึงธันวา กระแส ADAM-AMA ยังคงคุกรุ่นเมื่อเพิ่งเกิดเมื่อวาน และนายอดัมก็งานเข้าแทบทุกวันหลังจากผู้สื่อข่าวสำนักต่างๆ พากันลงข่าวว่า มีคนส่งเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐที่ดูแลกำกับสื่อกว่า 1,500 ราย

รายการทีวีบางรายโดยเฉพาะฟรีทีวีประกาศยกเลิกการแสดงสดของเขา อ้างว่า ถึงแม้ศิลปินคนนี้จะฮ็อตแค่ไหน ถ้าเกิดเขาไม่ทำตามแบบที่ซ้อมให้ดู แล้วดันไปเติมบทจูบ หรือบทอื่นใดเหมือนในงาน AMA จะพากันซวยเอา

บางรายการก็ยกเลิกเทปที่เตรียมออกอากาศไปเลย หรือบางกรณี ก็ขอเลื่อนการให้สัมภาษณ์ ต้องดูทิศทางลมซะก่อน ในบรรดางานปรากฏตัวของเขาผ่านช่องฟรีทีวี สถานี ABC โดนตั้งคำถามและเป็นข่าวครึกโครมมากที่สุดเพราะเป็นรายแรกที่ยกเลิก

เหตุการณ์ตึงเครียดมากขึ้น เมื่อหน่วยงานที่ปกติแล้วจะออกมาปกป้องภาพลักษณ์ของคนเป็นเกย์ในสื่ออย่าง GLAAD (Gay & Lesbian Alliance Against Defamation) ยังแสดงความไม่เห็นด้วยที่นายอดัมทำอย่างนั้น นักวิจารณ์บางคนถึงกับบอกว่า ดาวรุ่งดวงนี้ดับ very soon แหงๆ

โดนของหนักอย่างนี้ ถ้าเป็นคนอื่น คงนอนซม ตาบวมอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็รีบออกมากราบขอขมาผ่านสื่อไปเรียบร้อย แต่ไม่ใช่อดัม แลมเบิร์ต

ตอนประกวดแข่งขันร้องเพลง American Idol ในช่วงขาขึ้น นักร้องวัย 27 คนนี้ก็โดนภาพหลอนว่อนอินเตอร์เน็ต เป็นภาพที่เขาเคยจูจุ๊บกับหนุ่มวัยรุ่นอีกคน ตามข่าวบอกว่า เป็นแฟนเก่า ตอนนั้น American Idol เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เพราะผู้เข้าแข่งขันต้องเก็บคะแนนเรียกเสียงโหวตใกล้รอบสุดท้าย

เขาพาตัวหลุดกระแส “ปากต่อปาก” มาได้ เพียงแค่บอกเรียบๆ ตอบสื่อว่า เขายอมรับว่า ภาพนั้นเป็นตัวเขาเอง และเขาก็ไม่เคยปิดบังตัวเอง แถมยังรู้สึกดีกับสิ่งที่เป็นอีกด้วย เพียงแต่ คุณๆ ไม่ต้องไปสนใจอะไรกับภาพนั้น มาสนใจว่า ฉันจะแสดงอะไรบนเวทีจะดีกว่า

ในการให้สัมภาษณ์ช่วงนั้น เขาไม่ได้พูดซักคำว่า ผมเป็นเกย์ ในเมื่อยังไม่ได้คำตอบฟันธง สื่อก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอว่า เมื่อไหร่นะจะยอมรับกับสาธารณชนว่า ตนเป็นเกย์ ซะที

อดัมมาพูดชัดๆ ว่า ตัวเองเป็นเกย์ ก็ตอนที่ลงหน้าปกหนังสือดนตรีเล่มดังโรลลิ่ง สโตน หลังจากที่รายการแข่งขัน American Idol จบลงแล้ว และเข้าวินเป็นที่สอง ทั้งๆ ที่ความสามารถของเขากับคนได้ที่หนึ่ง (Kris Allen) ห่างกันอย่างเห็นได้ชัด อดัมยอมรับว่า เขาแพ้ผลโหวต อาจเป็นเพราะเขาเป็นเกย์

งาน AMA คงจะสร้างผลสะเทือนให้นักร้องคนนี้ไม่น้อย แต่คงไม่ทำให้เขาล้ม

หลังงาน AMA จบลง อดัมสวนกลับว่า เขาไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากนักร้องหญิงคนดังอย่างตอนที่ มาดอนน่าหันหน้าไปจูบปากกับบริทนีย์ ในงานประจำปีรายการมิวสิควิดีโอของเอ็มทีวี เมื่อหกปีก่อน (ใครเคยได้ดู จะรู้ว่า หล่อนจูบปากจ๊วบใหญ่พอๆ กันกับรายการ AMA เชียวแหละ)

แต่นั่นเป็นหญิงจูบกัน ซึ่งผู้ชมทางบ้านที่เป็นหญิงและเป็นผู้ชายทั่วไปบางคนรับได้ และมีคุณผู้ชายหลายคนชอบดูคุณผู้หญิงจูบกันด้วย อย่าปฏิเสธ…

แต่ถ้าผู้ชายจูบกัน ผู้ชมไม่ค่อยได้เห็นกัน ยิ่งเป็นรายการแสดงสดบนเวทีที่มีลุ้นตลอด ไม่เหมือนกับรายการละครตอนกลางวันของบรรดาฟรีทีวียักษ์ใหญ่ที่เพิ่งจะสองสามปีมานี้ มีตัวละครเป็นเกย์ และจูบกันแซมๆ ให้เห็น ซึ่งมันให้ผลต่างกันในแง่การดูการชม

แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ว่า ทำไมอดัมถึงโดนโจมตีหนักนัก ผมคิดว่า เป็นเพราะ หนึ่ง ในมุมมองบันเทิง เขาเป็นนักร้องน้องใหม่ ไม่ใช่เจ้าแม่ข้ามยุคอย่างมาดอนนน่าที่ถ่ายทอดงานมาแล้วสารพัดความแรง ทั้งภาพเซ็กซ์หมู่ ภาพนู้ด ภาพกระทำชำเราบนเวที เรียกได้ว่า หล่อนจับกระแสยุคสมัยได้อยู่หมัด ส่วนอดัมยังไม่มี “ราศี” จับ

สอง ในมุมมองเรื่องความเป็นเกย์ของเขา คนที่ไม่เห็นด้วยจะรู้สึกไม่พอใจเพราะคิดว่า ในเมื่อสังคมยอมรับให้ “เกย์คนนี้” เป็นนักร้องได้อย่างเปิดเผย ให้มีชื่อเสียง ให้มีผลงาน เรียกว่า ชั้นเพิ่งให้ “บัตรผ่าน” แกมา เพราะฉะนั้นก็อย่ามา “ล้ำเส้น” มากเกินไป

แต่ถ้าคุณผู้ชมพิจารณาในมุมมองความเท่าเทียมกัน คุณจะเห็นว่า สิ่งที่อดัมแสดงไม่ได้เกินเลยขอบเขตแต่อย่างใด เพียงแต่ คนดูที่ส่งจดหมายไปร้องเรียนหน่วยงานกำกับดูแลนั้น “ยังไม่ชิน”

ว่างๆ ลองเปิด ดูงานเก่าๆ สมัยเอลวิส เพรสลีย์​เพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ พร้อมกับท่า “ควงสะโพกโยกหน้าหลัง” ของเขาสิครับ สมัยนั้น เอลวิสโดนโจมตีพอๆ กัน

อ้อ…ต่างกันที่ เอลวิส เป็นผู้ชาย แต่อดัมเป็นเกย์

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th อีเมล์ vitayamail@gmail.com

“พี-ก้อง” พรุ่งนี้ก็รักเธอ

พิเศษ

หน้าม่านมายา 8 ธ.ค. 2009 วิทยา แสงอรุณ

ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่ดูละคร “พรุ่งนี้ก็รักเธอ” เห็น “นายพีกับนายก้อง” รักกัน แล้วรับไม่ได้ ไม่ใช่เพราะท่านเป็นคน “หัวโบราณ” แต่เพราะท่านเป็นคนมีอาการ “โฮโมโฟเบีย”

“โฮโมโฟเบีย” ไม่ใช่อาการใหม่ของสังคม แต่เป็นอาการที่เป็นมาแต่โบราณ มีมานานแล้ว คนส่วนใหญ่เลยสับสนคิดว่า เพราะตัวเองเป็นคนหัวโบราณ จึงรับภาพผู้ชายสองคนเป็นแฟนกันในจอทีวีไม่ได้

คนที่มีอาการโฮโมโฟเบีย จะแสดงออกดังนี้

รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยแทนเยาวชน: กลัวไปว่า เด็กๆ ที่ได้รับชมภาพเกย์ กะเทย ทอม ดี้ผ่านสื่อ แล้วจะติดใจ อยากเลียนแบบ “เราต้องปกป้องเยาวชนของเรา” คือหลักการเหนียวแน่นของท่าน

หรืออีกนัยหนึ่ง ท่านเป็นผู้ที่เชื่อว่า เยาวชนไทยไม่ค่อยมีความคิด ไม่ค่อยมีวิจารณญาน ต้องคอยปกป้องและชี้นำว่า อะไรควร อะไรไม่ควร เดี๋ยวเห็นอะไรโผล่มาทางจอทีวีก็อยากเลียนแบบไปหมด หรืออีกนัยหนึ่ง เยาวชนไทย “ไม่ค่อยมีสมอง”?

รู้สึกเป็นห่วงวัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นไทย: ภาพความรักของผู้ชายสองคนจะทำให้วัฒนธรรม ประเพณี และคุณค่าความเป็นไทยที่ดีงามเสื่อมทรามลงไป ด้วยสิ่งเหล่านี้เป็นอิทธิพลจากตะวันตก

เป็นเรื่องน่าสนใจที่ว่า ท่านที่พูดแบบนี้มักไม่สามารถอธิบายได้ว่า อะไรคือคุณค่าความเป็นไทยที่ดี หรืออะไรคือ วัฒนธรรมประเพณีที่งดงาม ความดีความงามวัดกันตรงไหน?

และเหนือสิ่งอื่นใดที่คนเป็นเกย์ (อย่างผม) ต้องเกาศีรษะสามทีเสมอๆ ก็คือ เป็นเกย์ แล้วไปเดือดร้อนวัฒนธรรมประเพณียังไง?

รู้สึกเป็นห่วงเรื่องการสืบพันธุ์: ถ้ามีคนเพศเดียวกันรักกันมากๆ โลกทั้งโลกจะล่มสลาย เพราะรักเพศเดียวกันไม่มีการสืบเผ่าพันธุ์ ไม่มีลูกมีหลาน

ท่านผู้ใหญ่ที่มีแนวคิดแบบนี้แล้วรู้สึกเดือดร้อน เป็นห่วงโลก คงเข้าใจผิดมาตลอดเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้หมายถึง การสืบเผ่าพันธุ์แต่อย่างเดียว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว มนุษย์ไม่ได้ “เอากัน” เพราะจะผลิตลูก มนุษย์ไม่ได้มีฤดู “ติดสัด” เพราะฉะนั้น การที่คนเพศเดียวกันมีอะไรกัน ก็ไม่จำเป็นต้องผลิตอะไรออกมา หรือกระทั่งคนรักต่างเพศ มีอะไรกัน ก็ไม่เห็นต้องตั้งหน้าตั้งตาผลิตลูก หรืออยากสืบสกุลลูกเดียว

แต่ที่น่าสนใจก็คือ คู่รักเพศเดียวกันที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็อยากมีลูกด้วยกันทั้งนั้น พวกเขาเลยใช้การผสมเทียม หรือฝากให้ชาวบ้านท้องแทนเพื่อมีลูก แล้วอย่างนี้ โลกจะล่ม
สลายมั๊ย? อีกอย่างแล้วคนโสด หรือคนที่เป็นหมัน คนที่นกเขาไม่ขัน หรือคุณผู้หญิงที่เกลียดการมีเพศสัมพันธ์ คนเหล่านี้มีส่วนทำให้โลกล่มสลายด้วยหรือเปล่า?

อาการโฮโมโฟเบีย เกิดขึ้นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เรียกได้ว่าไม่จำกัดอายุ เพศ เชื้อชาติ และศาสนา แม้บางศาสนา เช่น ศาสนาพุทธไม่ได้แอนตี้คนเป็นเกย์ และความรักชอบเพศเดียวกัน แต่เราจะพบเห็นคนพุทธที่ชอบอ้างความเป็นพุทธและอ้าง “ความเป็นไทย” จับมาผสมกันจนแยกแยะไม่ออกว่า สิ่งที่ตัวเองรู้สึกไม่พอใจ จริงๆ แล้ว มันเกิดมาจากอะไรกันแน่?

ความรู้สึกต่อต้านเหล่านี้ ลึกๆ แล้ว เป็นความรู้สึกที่เราจะพบเห็นได้ในหมู่คนใกล้ชิด คุณผู้อ่านเคยเจอหรือเคยคบเพื่อนที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี จนเกินหน้าหรือเปล่า?

คนที่มีอาการโฮโมโฟเบียก็เช่นกัน คนเหล่านี้มีความรู้สึกว่า เกย์ เลสเบี้่ยน กะเทย สาวประเททสอง ทอม ดี้ อีทีซี (etc.) เป็นประชากร “ชั้นสอง” หรือเป็น “ความบกพร่อง” ที่ควรถูกกำจัด เพราะโลกนี้ นอกจากจะเจอปัญหาโลกร้อนแล้ว ไม่น่าจะมีคนประเภทนี้อยู่บนโลกให้รู้สึกเดือดร้อนอีก ทั้งๆ ที่มีแต่ท่านเท่านั้นแหละที่มักเดือดร้อนไปเอง ขออภัยถ้าพูดตรงเกินไป

แต่ผมยังรู้สึกชื่นชมนะครับ ที่ท่านที่เป็นโฮโมโฟเบีย กล้าแสดงความคิดเห็นออกมา นั่นแสดงว่า ท่านมีโอกาสที่จะเปิดรับฟังความคิด เปิดทัศนะ และมุมมองใหม่ๆ ของท่าน ท่านไม่ใช่คนย่ำอยู่กับที่ ซึ่งต่างจากคนที่มักจะพูดให้คนอื่นฟังว่า “ผม/ฉัน มีเพื่อนเป็นเกย์ กะเทย ทอม ดี้ เยอะแยะ” ผม/ฉัน ไม่ได้แอนตี้พวกคุณ” แต่ท้ายที่สุด ก็ปฏิเสธตัวตนและไม่สนับสนุนให้คนกลุ่มนี้ให้ได้รับความเป็นธรรม

คนกลุ่มหลังนี้ ผมว่า น่ากลัวที่สุด เพราะเขาพูดอย่างนั้น เพื่อให้คนอื่นคิดว่า ตนเป็นคนใจกว้าง แต่จริงๆ แล้วตรงกัันข้ามอย่างสิ้นเชิง คนเหล่านี้ เป็น “อีแอบ” ตัวจริง

ตัวละคร “ก้องและพี” ไม่ใช่ตัวละครเกย์คู่แรกในจอทีวี แต่เป็นตัวละครเกย์ไม่กี่คู่ในละครตู้ที่แสดงความรักได้อย่างน่าติดตามและทำให้คนดู (ที่ไม่ได้เป็นโฮโมโฟเบียขึ้นสมอง) รู้สึกอยากติดตามละครเรื่องนี้ คนที่ไม่ได้ดูเรื่องนี้ อาจเข้่าใจว่า ตัวละครสองตัวนี้เป็นตัวเอก เปล่าเลย เป็นตัวละครประกอบที่ดัน “ดัง” กว่าพระนางในเรื่อง และบทที่ทั้งสองแสดง “กลมกล่อม ลงตัว​”

คู่รักตัวอย่างที่ดีอย่าง “ทีและจอน” ใน “รักแปดพันเก้า” (ช่อง 9) ก็ห่างหายจากจอตู้ไปนานแล้ว จึงไม่แปลกอะไรที่คอละครที่ใจกว้างเลยรู้สึกต้อนรับ “ก้องและพี” อย่างรอคอย

จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้มีตัวละครคู่เกย์ที่เพิ่งจบไป แต่ “ตาวและแอ” ในน้ำตาลไหม้ เป็นภาพสะท้อนที่ต่างจาก “ก้องและพี” เพราะคู่เกย์ในละครช่อง 3 เรื่องนี้ ไม่ได้มีความรู้สึกต่อกันอย่างจริงใจ แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเอารัดเอาเปรียบ เป็นภาพลบของความสัมพันธ์ที่ผ่านตัวละครเพศเดียวกัน ที่ท่านผู้ใหญ่โฮโมโฟเบียดูแล้วสบายใจ รับได้ “เพราะเยาวชนไทยคงไม่เอาอย่าง หรือเลียนแบบ”

ในประเทศสิงคโปร์ ผู้มีอำนาจที่นั่นใช้หลักคิดเดียวกัน “พรุ่งนี้ก็รักเธอ” คงไม่มีทางไปฉายที่เกาะนั่นได้ ไม่ใช่เพราะมีตัวละครเป็นเกย์ แต่เพราะมีตัวละครเป็นเกย์ที่มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ทั่วไป และมีความรักที่สวยงามให้กัน

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ กับเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th อีเมล์ vitayamail@gmail.com

พาเหรดที่หายไป

พิเศษ

หน้าม่านมายา กรุงเทพธุรกิจ 24 พ.ย. 2009 วิทยา แสงอรุณ

จริงๆ แล้วในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ใกล้ๆ กับงานลอยกระทง ในกรุงเทพฯ จะมีงาน “เกย์พาเหรด” จัดขึ้นที่สีลม และมักจะจัดกันวันอาทิตย์ตอนบ่ายๆ และพอถึงเช้าวันจันทร์ บนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ก็จะมีรูปภาพของงานนี้ ช่วยให้ข่าวในเช้าวันจันทร์ดูคึกคักไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นภาพผู้ชายนุ่งน้อยห่มน้อย ภาพสาวประเภทสองในชุดแฟนซีมีขนนกฟูฟ่อง หรือภาพรถขบวนมีคนยืนเต้นโหยงเหยงอย่างสนุกสนาน ส่วนภาพหนุ่มเกย์ไทยใส่ชุดไทย หรือสาวประเภทสองใส่ชุดไทยที่อยู่ในขบวนพาเหรด หนังสือพิมพ์เค้าไม่ลงหรอก เพราะดู “ทำ-มะ-ดา”

แต่ในปีนี้ คุณผู้อ่านสังเกตหรือเปล่าว่า ไม่เห็นจะมีข่าวเกย์พาเหรด และในช่วงปีสองปีมานี้ ไม่ค่อยจะได้ยินคำว่า เกย์พาเหรดหรือพาเหรดเกย์อีกแล้ว ยกเว้นพาเหรดที่เชียงใหม่ ที่คนใส่เสื้่อแดงออกมาเดินพาเหรดประท้วงแทน

แล้วงานเกย์พาเหรดที่สีลม หายไปไหน?

งานเกย์พาเหรดที่กรุงเทพฯ ในภาพรวมแล้ว ก็ไม่ใช่งานใหญ่โตขนาดการท่องเที่ยวเอาไปบรรจุ
ไว้ในปฏิทินเที่ยวทั่วไทยไม่ไปไม่รู้ ทั้งๆ ที่มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมาดูกันเยอะ

และคุณคงจะไม่ได้สังเกตหรอก เพราะงานเกย์พาเหรด ไม่ใช่งานแห่บั้งไฟ หรืองานประเพณีใดที่มีคติ ฐานความเชื่อ หรือมีวัฒนธรรมหลักของชาติมารองรับ ทั้งๆ ที่งานเกย์พาเหรด คืองานสิทธิมนุษยชนแขนงหนึ่งที่เป็นสากล

พอไม่มีภาพงานนี้ในหนังสือพิมพ์เช้าวันจันทร์ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร

โดยส่วนตัว ผมไม่ได้แอนตี้งานแบบนี้ ยังเคยไปช่วยเค้าจัดงานอยู่เลยครับเมื่อหลายปีก่อนโน้น แต่พอได้สัมผัส ได้รับรู้ และได้เรียนรู้ในเวลาต่อๆ มา ก้อบอกได้เลยว่า

ก้อ…มันไม่ใช่อ้ะ (คุณต้องทำเสียงขึ้นจมูกนิดหน่อยเวลาพูด ไม่ถึงกับเหมือนคุณลิเดีย แต่จะได้ “ฟิว” มาก ลองทำดู)

ที่บอกว่า “มันไม่ใช่” ไม่ใช่เพราะงานเกย์พาเหรดไม่ดี ไร้สาระ ไร้ความหมาย หรือไม่สำคัญ แต่งานเกย์พาเหรดในกทม. ไม่มีทางจัดได้ใหญ่โตไปกว่ารถขบวนห้าคัน คนมาร่วมเดินในขบวนสักร้อย ไม่มีการปิดถนน มีแต่ปิดเลนๆ หนึ่ง ให้คนในขบวนเดินไป เต้นไป พร้อมๆ ไปกับยวดยานพาหนะทั่วไป รวมถึงรถเมล์ และแท็กซี่ เพราะตำรวจ ไม่ยอมให้ปิดถนน และขบวนแห่ที่มีปีละครั้งนี้จะหายวับไปในเวลาไม่ถึง 45 นาที ถ้าคุณโผล่มาดูช้้าไป

งานเกย์พาเหรดในกทม. จะไม่มีทางจัดให้ยิ่งใหญ่เหมือนในต่างประเทศที่เค้าปิดถนนทั้งถนน นับสิบๆ กิโล มีคนมาเดินในขบวนเป็นพันๆ คน และมีนักท่องเที่ยวบินมาดูเป็นหมื่น

ที่สีลม คนที่เดินอยู่ในขบวนเกย์พาเหรด ไม่ใช่ใครอื่น ส่วนใหญ่เป็นพนักงานของผับ บาร์ และผองเพื่อนที่อยู่ในย่านนั้นที่เค้ามีความสุขที่จะได้ทำ และตัวงานก็มุ่งเน้นการท่องเที่ยว
ในย่านสีลม และเหตุผลที่เขาจัดงานกันวันอาทิตย์ ก็เพราะวันเสาร์ ผับบาร์ของคนย่านนั้น เต็มอยู่แล้ว

อีกอย่างคนจัดก็ไม่ใช่คนไทย เพราะคนไทย ไม่รวมตัวกัน มีแต่เจ้าของธุรกิจซึ่งเป็นต่างชาติส่วนใหญ่แถวนั้น ซึ่งเห็นพ้องกันว่า งานเกย์พาเหรด ก็มีกันทุกประเทศ ประเทศไทยควรจะมี และอาจมีส่วนช่วยลดอคติทางเพศในสังคมไทย ช่วยทำให้คนเป็นเกย์มี “ที่ทาง” หรือมีพื้นที่ในสังคมได้บ้าง

ที่เกย์พาเหรดสีลม “ไม่เวิร์ค” ไม่ใช่เพราะคนไทยไม่รวมตัวกันอย่างเดียว แต่เป็นเพราะ ในสังคมไทย เกย์ไทยไม่เคยโดนรังแกในระดับเดียวกับเกย์ในโลกตะวันตก ที่เดินๆ อยู่ ก็มีคนเอาไม้มาตีกบาล รุมตื้บ หรือโชคร้ายสุดๆ เดินๆ อยู่ ก็มีคนปืนมายิง

เกย์ไทย ไม่เคยเจอเหตุการณ์กดดันขนาดนี้ เกย์พาเหรดที่สีลมเลยไม่ได้มี “รากเหง้า” มาจากอะไรนอกจากช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวในย่านนั้น และเป็นการรวมตัวกันแบบเฉพาะกิจ
ของเพื่อนๆ กัน

พาเหรดในต่างประเทศ เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกกดดันจากสังคม และความรู้สึกถึงสิทธิของตน
ที่ถูกปิดกีดกั้น สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานในจิตวิญญาณของคนที่ออกมาเดินในท้องถนนนับพันๆ และมีอาสาสมัครมาช่วยจัดงาน เตรียมงานกันเป็นปี

ในเมื่อเกย์ไทย ไม่ได้มีรากเหง้าความรู้สึกแบบเดียวกับเกย์ในตะวันตก ไม่ได้มีจิตวิญญาณอยากจะเรียกร้องอะไร และหลายๆ คน ก็รู้สึกว่า อยู่ๆ ไป ใช้ชีวิตไป ไม่ต้องทำอะไร ก็ดีอยู่แล้ว สังคมไทยไม่มีตีกบาลกันอย่างนั้น

เกย์พาเหรดที่่หายไปจากสีลม จึงไม่ได้ทำให้เกย์ไทยในกทม. ส่วนใหญ่รู้สึกเสียดาย หรืออยากจะให้มีการจัดขึ้นอีก
แต่เกย์พาเหรดที่เชียงใหม่ ไม่เหมือนกัน หลังจากโดนเสื้อแดงปิดล้อม ด่าทอ และขู่ทำร้าย ขัดขวางการเดินขบวนอย่างที่เห็นในข่าวแล้ว เหล่าเกย์ กะเทย ทอม ดี้ โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ จึงได้รับรู้รู้สึกถึงความรุนแรง และรู้สึกถึงว่า ทำไมเราไม่รวมตัวกันและต่อสู้กับความอยุติธรรมแบบนี้

แต่อย่างไรก็ตาม เกย์ไทยส่วนใหญ่ ไม่ได้รับรู้สึกไปด้วย ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร แต่สาเหตุหลักแล้ว ก็เพราะคนอื่นๆ ในสังคม แม่ พ่อ ครู หรือเพื่อนในที่ทำงานไม่มีทางรู้ว่า ฉัันเป็นเกย์ แล้วฉันจะไปเรียกร้องอะไร ทำไม?

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th อีเมล์ vitayamail@gmail.com

แอบ…สุดๆ

พิเศษ

หน้าม่านมายา 10 พ.ย. 2009 วิทยา แสงอรุณ

ระดับอาการ “แอบ” ของคนเป็นเกย์เนี่ยไม่เท่ากัน

อาจารย์เสรี วงศ์มณฑา กูรูใหญ่จัดแบ่งการใช้ชีวิตของคนเป็นเกย์ออกเป็น “แอบจิต” “สว่างจิต” และ “สลัวจิต” ถ้าจะอธิบายกันอย่างเร็วๆ ก็คือ คนที่แอบสุดๆ และไม่มีใครรู้ นอกจากตัวฉันเองเรียกว่า แอบจิต

สว่างจิตก็หมายถึง คนที่ไม่ปิดบังอะไรอีกแล้ว ไม่ว่ากับใคร

ส่วนสลัวจิตคือ คนที่ยังปกปิดตัวเองอยู่ แต่ก็แอบสลัวๆ ในบางเวลา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม แต่จะให้พวกเขาไปสว่างไสวในทุกขณะ เค้าไม่เอาหรอก

ในสังคมไทย คนที่สว่างจิตจริงๆ หรือได้เลิกแอบแล้วอย่างถาวร โดยเฉพาะคนอายุ 30 ปีขึ้นไป ยังคงมีจำนวนค่อนข้างน้อย เพราะคนเหล่านี้เติบโตมาโดยขาดการเชื่อมโยงทางสังคม และไม่มีโอกาสเข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น พวกเขาหลายคนเลยยังอยู่ในโหมด แอบจิต ซะเยอะ

นี่ไม่นับรวมหลายๆ คนที่อยู่ในเฟซบุ๊ค หรือไฮไฟว์ ที่ดูคร่าวๆ นึกว่า สว่างจิตเรียบร้อย เพราะดูเหมือนจะไม่ปิดบังเวลา “เม้นท์” ให้ผู้ชายด้วยกัน

แต่ผมก็ถือว่า หลายๆ คนในสื่อบนเน็ตเหล่านี้ ไมได้สว่างนะครับ พวกเขาสลัวแบบชิลๆ ต่างหาก เพราะถ้าเกิดมีคนมาเปิดหน้าไฟว์หรือหน้่าเฟซบุ๊คของเขาแล้วจับได้ พวกเขาก็อ้างได้ว่า เป็นเพื่อนผู้ชายเข้ามาคุยเล่นๆ กัน เพราะในกลุ่มเพื่อนที่ “แอด” มา และโชว์ในหน้าเว็บของเขา ก็มีผู้หญิงอยู่ นี่ไงเยอะแยะเลย…

เมื่อเทียบระหว่างแอบจิตกับสลัวจิต แล้วดูว่า ประชากรกลุ่มไหนมีมากกว่ากัน ก็ยากที่จะหามาตรวัดที่ชัดเจน แต่ที่แน่ๆ โดยไม่ต้องสำรวจหรือวัด ก็คือ ประชากรสลัวจิตนั้นยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าประชากร แอบจิต

คุณเชื่อมั๊ยว่า อาการแอบจิตมากๆ ทำให้บุคคลนั้นเจ็บป่วยได้

“นิด” เล่าว่า เขาเป็นไมเกรนบ่อยๆ บางครั้งก็มีอาการแพ้อากาศ ทั้งๆ ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ดูภายนอกแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรง แต่ภายในเขาแสนจะว้าวุ่น เพราะเขาบอกว่า นอกจากผมแล้วที่อ่านและตอบอีเมล์ของเขา บนโลกใบนี้ ไม่มีใครอีกเลยที่รู้ว่า เขาเป็นเกย์

ส่วน “ดอน” (คนเดียวกันกับสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ผมเขียนถึงเขาในตอนที่ชื่อว่า “เค้าว่า…เดี๋ยวนี้ผู้ชายเป็นเกย์กันเยอะ”) เกือบต้องหายไปจากโลกนี้ เขาเล่าให้ฟังว่า ถึงเขาเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมาแล้ว และรู้ตัวว่า รักผู้ชาย และคงไม่มีวันไปมีสัมพันธ์กับผู้หญิงอีก เขาก็ยังต้องแอบอยู่ต่อไป และยิ่งไปกว่านั้น ลึกๆ แล้ว เขายังรู้สึกรังเกียจคนเป็นเกย์

“พี่ครับ ผมว่า ผมเห็นร้านที่พี่บอกแล้วนะครับ ผมยืนอยู่หน้าร้านแล้ว แต่ผมไม่กล้าเข้าไป หน้าร้านมีเกย์นั่งอยู่เต็มเลย”

เขาโทรศัพท์มาตอนผมนัดให้เขามาคุยเรื่องราวของตัวเอง เรานัดกันแถวสีลม ผมเดาว่า เขาน่าจะเป็นตัวเองได้มากขึ้นที่นั่น แต่คาดผิด เขากลัวสุดชีวิต ตอนที่เจอหน้ากัน เขายังดูสั่นๆ อยู่ เขาบอกว่า เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เพราะเครียดมาจากหลายอย่างทั้งเรื่องที่ทำงาน และเรื่องที่บ้าน จนพยายามฆ่าตัวตาย ตอนนี้เขากำลังเยียวยาตัวเองอยู่

ผมบอกเขาไปว่า น่าจะเริ่มต้นด้วยการปรับทัศนคติของตัวเองต่อสิ่งที่ตัวเองเป็นเสียก่อน ส่วนเรื่องหาแฟน อย่าเพิ่งรีบร้อน

ส่วนอีกราย ติดต่อมาทาง SMS “สวัสดีครับ…ผมฟังรายการมา 3 เดือนแล้ว ผมเป็น GAY ที่แอ๊บแมนมาตลอด ผมอยากมีคนที่เข้าใจ…ชีวิตผมหลอกลวงทุกคน..ผมไม่กล้าโทรไป…”

เขาคงอยากส่งข้อความยาวกว่านี้ แต่มันเป็น SMS

สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องราวบางส่วนของคนที่แอบ หรือสลัวๆ อยู่ คนที่แอบๆ ซ่อนๆ หลอกๆ คนอื่นมาค่อนชีวิตอย่างพี่ชายคนนี้คงมีเรื่องราวเล่าได้อีกเยอะ เหมือนเมื่อสองสามปีก่อน ที่ผมและเพื่อนอาสาช่วยคนอื่นกัน

เราเรียกกิจกรรมนั้นว่า “รวมพลคนไม่มีเพื่อน” โครงการนั้นเป็นไปอย่างสวยงาม เพราะคนมาร่วมโครงการ ตั้งก๊วนเพื่อนกันอย่างสนุกสนาน และหลายคนหายเครียดจากสิ่งที่ตัวเองเป็นแล้ว และตอนนี้ก็ได้ช่วยคนอื่นๆ ต่อๆ ไป

ผมคงไม่ตั้งกิจกรรมชื่อประหลาดอย่างนั้นอีก แต่อยากจะเชิญชวน และบอกต่อๆ ไป ถึงคุณผู้อ่านกรุงเทพธุรกิจว่า หากคุณครียด และกังวลกับสิ่งที่เป็น หากคุณหาใครคุยไม่ได้ หากคุณคิดจะจากโลกนี้ หรือคุณกำลังโดนข่มขู่จากเพื่อนร่วมงาน หรือคนใกล้ชิดที่จะเปิดเผยตัวคุณให้ทางบ้าน หรือบุคคลสำคัญในชีวิตคุณได้รับรู้ ไม่ต้องโทร 1900 นะครับ อีเมลมาที่ bangkokradioformen@hotmail.com

กิจกรรมนี้จะมีนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์ (ไม่ใช่ผมนะ) และอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรมเรื่องการให้คำปรึกษา หรือ counseling มาจัดกิจกรรมพูดคุยกันอย่างมืออาชีพ คุยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ 10-15 คน สถานที่คุยเป็นที่ส่วนตัว คุณไม่ต้องกลัวว่า คนรู้จักจะรู้ และไม่ต้องห่วงว่า จะมีคนอื่นที่ไม่ได้เครียดมาปะปน เพราะเราใช้วิธีสัมภาษณ์แบบเข้มข้น สกรีนคนที่เครียด และมีปัญหาจริงๆ เพื่อเข้ากิจกรรมเท่านั้น

พบกันวันเสาร์ หรือวันศุกร์ตอนเย็น แล้วแต่จะสะดวก ครั้งละสองชั่วโมง
คุณผู้อ่านที่อ่านคอลัมน์นี้อยู่ แล้วมีเพื่อนหรือคนในครอบครัวที่เครียดกับสิ่งที่เป็น รังเกียจตัวเอง หวาดหวั่นกับอนาคตตัวเอง และมีปัญหาเรื่องการปรับตัว ช่วยบอกต่อๆ ไปด้วยนะครับ ไม่ได้ให้โทรศัพท์ไว้ อีเมล์มาขอรายละเอียดเพิ่มเติม รวมทั้งทิ้งเบอร์โทรศัพท์ จะมีเจ้าหน้าที่โทรกลับ

ผมได้แต่หวังว่า จะเพิ่มประชากรสว่างจิตที่มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เครียด ไม่กังวลให้มากขึ้น

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th อีเมล์ vitayamail@gmail.com

เค้าว่า…เดี๋ยวนี้ผู้ชายเป็นเกย์กันเยอะ?

พิเศษ

chinesemodel

หน้าม่านมายา 27 ต.ค. 2009 วิทยา แสงอรุณ

“บอย” อายุ 11 ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์เป็นชีวิตจิตใจ เพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักกับ “เปิ้ล” รุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งสองคนเล่นเกมออนไลน์อย่างสนุกสนานโดยไม่เคยเห็นหน้ากัน เวลาเปิ้ลพิมพ์ ก็เรียกแทนตัวเองว่า “เรา” และลงท้ายประโยคว่า “จ้ะ”

บอยไม่มีทางรู้เลยว่า เปิ้ลเป็นยังไง จนกระทั่งแลกรูปกัน และถึงแม้รู้ว่า เปิ้ลไม่ใช่ผู้หญิง แต่นั่นก็ไม่ทำให้บอยเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเองที่ตกหลุมรักเพื่อนคนนี้ไปแล้ว นับเวลาหลังจากนัดเจอกัน และตกลงเป็นแฟนกัน ก็ 11 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันทั้งสองอายุราว 22 เรียนอยู่มหาวิทยาลัยชื่อดังทั้งคู่ อยู่หอพักเดียวกัน และยังคงเป็นแฟนกัน

“ดอน” เพิ่งเริ่มหัด “แชท” หลังจากรู้จัก “โพสต์” ข้อความประกาศหาเพื่อนเป็น ด้วยหน้าตาดี เขารู้สึกมันส์ในชีวิตมากๆ ที่มีสาวๆ มาขอแอดเยอะแยะ ในบรรดาคนเหล่านั้น มีคนหนึ่งที่อายุมากกว่าดอน และได้สร้างความประทับใจอย่างพิเศษให้แก่เขาทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนเลย

ดอนรู้สึกเหมือนมีเพื่อนเสนดีที่เข้าใจเขา รับฟังเขาอย่างไม่รู้เบื่อ แล้วทั้งสองก็นัดพบกันในวันหนึ่ง แต่เบื้องหน้ากลับกลายเป็นผู้ชายวัยกลางคน และเป็นคนในเครื่องแบบ

เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย และต่อมา เมื่อนึกย้อนไป เขาก็ไม่อยากจะเชื่ออีกด้วยว่า เขารักกับผู้ชายคนนี้ มีอะไรกับผู้ชายคนนี้มาเป็นเวลาสามปีแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม

ดอนยำ้ว่า ตั้งแต่เกิด และเติบโตมาเป็นวัยรุ่น จนเขาแต่งงานกับเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย มีลูกด้วยกันอายุเกือบจะสี่ขวบแล้ว เขาก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่า เขารักกับผู้ชายเป็นด้วยเหมือนกัน เขายังงงๆ อยู่ว่า จะเรียกตัวเองว่าอะไร

“อินน์” หนุ่มวัย 25 ไม่เคยมีแฟนมาก่อนในชีวิต เขารู้ตัวว่า ตัวเองชอบผู้ชาย แต่ไม่คิดไม่ฝันว่า จะเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่อายุแก่กว่าเขาเกือบยี่สิบปี

ผู้ชายคนนั้นทำงานตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทแห่งหนึ่ง อินน์เล่าให้ฟังว่า เขาคนนี้แต่งงานและมีลูกแล้ว เพราะหล่อ สูง สมาร์ท ผู้หญิงในออฟฟิศติดใจ และเสนอตัวให้เขาไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงมาเลือกตัวเขาทั้งๆ ที่เขา บางครั้งเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก และไม่ค่อยลงให้ใคร

ผู้ชายสูงวัยเคยบอกอินน์ว่า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงชอบอินน์ และอินน์เป็นผู้ชายคนแรกที่เขารู้สึกรัก และถ้าจะให้เขาทิ้งภรรยามาอยู่กับอินน์ เขาก็ยอมทำ แต่เพราะอินน์ไม่รู้มาก่อนว่า เขามีภรรยาแล้ว สุดท้าย ด้วยความรู้สึกอยากแก้ไขสถานการณ์ อินน์เลือกที่จะเลิกคบกับผู้ชายคนนี้

เรื่องทั้งหมดที่เล่ามานี้ ไม่ใช่เรื่องแต่งนะครับ หรือเป็นเรื่องที่ไปเก็บตกมาตามเน็ต แต่เป็นเรื่องจริง ที่ผ่านการ “ตรวจสอบ” แล้วด้วยตัวเอง ได้พบเจอเจ้าของเรื่อง และลองสืบ ลองสอบสวน ครบถ้วนกระบวนความว่า มันแปลกนะ แต่จริง

“เดี๋ยวนี้ผู้ชายเป็นเกย์กันเยอะ” ประโยคนี้ คุณผู้อ่านคงได้ยินบ่อยๆ และบังเอิญ ก็โดนถามอยู่บ่อยๆ เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า และยิ่งมาอ่านเรื่องราวข้างต้น คุณอาจจะยิ่งปักใจว่า มันคงจะจริงที่ เดี๋ยวนี้ผู้ชายเป็นเกย์กันเยอะ

ถ้าคุณผู้อ่านเป็นคนที่ยังนึกไม่ออกว่า ผู้ชายสองคนจะรักกันได้ยังไง คงยิ่งงงและสับสน เป็นไปได้มั๊ยที่ว่า บอย ซึ่งเป็นเด็กอยู่แค่ป. 5 สับสน เพราะ “สื่อเกมออนไลน์” เลยเกิด “เบี่ยงเบน” ไปรักผู้ชาย

ขณะที่เรื่องดอนที่รักผู้ชาย ก็คงคล้ายๆ กันเขาเกิดความประทับใจกับเพื่อนร่วมแชท
อย่างโงหัวไม่ขึ้นเพราะแชทกันมานาน พอเจอหน้าว่า เป็นผู้ชาย ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้ ส่วนผู้ใหญ่คนนั้น คงรักอินน์ เพราะอินน์ “กวนตีน” ดี?

ดีนะเนี่ยที่ทั้งสามไม่ได้มีเหตุให้รู้สึก “เซ็ง” ผู้หญิง เลยหันมาคบผู้ชายแทน

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องสภาพแวดล้อมว่า เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใครเป็นเกย์ แม้จะให้โตมาในครอบครัวที่มีแต่ผู้หญิง หรือทั้งหมู่บ้านมีแต่ผู้หญิง ก็ไม่ได้ทำให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นเกย์ หรือกลายเป็นเกย์ เพราะการเป็นเกย์ มีอยู่แล้ว และเกิดจากข้างใน…ข้างในจิตใจ

คุณผู้อ่านที่เป็นชายหญิงทั่วไป หรือเป็นคนรักเพศเดียวกัน อาจจะเชื่อไปคนละอย่าง เพราะยังไม่มีทฤษฎีใดๆ รองรับ คุณก็สามารถเชื่อในสิ่งที่อยากจะเชื่อ ผมก็เช่นกัน ผมเลือกจะเชื่อว่า คนเป็นเกย์ ก็เพราะเขาเกิดมาเป็นยังงั้นเอง ไม่ต้องมีเทคโนโลยี ไม่ต้องมีคนชี้ชวน ไม่ต้องไปลองแล้ว “ติดใจ”

คุณก็อาจเป็นคนหนึ่งที่เป็นผู้ชาย อยู่ชั้นมัธยมเคยจับอวัยวะของเพื่อนชายเล่นกัน หรือกระทั่งบางคนเคย “ออรัล” ให้เพื่อนชายที่เตะฟุตบอลด้วยกันมาแล้ว ถ้าคุณไม่ใช่ คุณก็ไม่ใช่ล่ะครับ

ในทางตรงกันข้าม ก็มีผู้ชายที่มีความรู้สึกชอบพอเพศเดียวกันอีกหลายคนที่ไม่เคย “สำรวจ” ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเลย จนกระทั่งไปค้นพบความรู้สึกของตัวเองเข้า และขณะเดียวกัน ก็มีผู้ชายอีกหลายคนที่รักผู้ชายและรักผู้หญิงได้

แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้สึกรักชายและหญิงในระดับความรู้สึกเท่าๆ กัน และส่วนใหญ่ ชายไบเซ็กช่วลเหล่านี้ ก็เลือกจะแต่งงานและมีลูก เพราะเป็นสิ่งที่สังคมรองรับ

คำว่า เดี๋ยวนี้ผู้ชายเป็นเกย์กันเยอะ คงเป็นประโยคเจ็บปวดใจและไม่อยากได้ยินอีกแล้วสำหรับหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ยังรอคอย และคิดว่า โลกนี้คงมีผู้ชายเยอะ แต่จริงๆ แล้ว ผู้ชายที่เป็นเกย์ มีอยู่เยอะแยะมากมาย เขาอาจกำลังทำหน้าที่สามี หน้าที่พ่อ หรือน้า อา ลุง หรือกระทั่งปู่

ผู้ชายไม่ได้เป็นเกย์กันเยอะหรอกครับ แต่เกย์มีเยอะอยู่แล้ว เพียงแต่เรามักมองไม่ค่อยเห็น คุณว่างั้นมั๊ย?
___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th อีเมล์ vitayamail@gmail.com

“เพศศึกษารอบด้าน” ยังไง?

พิเศษ

2009050521002781793

ได้มีโอกาสไปแสดงความคิดเห็นเรื่องเพศมาครับ เป็นเวทีสัมมนาขนาดใหญ่ที่จัดกันสองวันครึ่ง พูดกันแต่เรื่องเพศศึกษา

รายการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการก้าวย่างอย่างเข้าใจขององค์กรพัฒนาเอกชนชื่อ องค์การแพธ (PATH)

หลายคนคงเคยได้ยินชื่อหน่วยงานนี้มาแล้วนะครับ เขามุ่งมั่นยกเครื่องเรื่องการเรียนการสอนด้านเพศในสถานศึกษา ไล่ตั้งแต่ชั้นประถมเลย เรียกว่า ต้องรีบเร่งนำองค์ความรู้ “ชุดใหม่” มามอบให้เยาวชนไทยอย่างเท่าทัน เพราะที่ผ่านมา นอกจากความรู้เรื่องเพศชุดเดิมจะขาดวิ่นมีหยากไย่ ไม่ทันความว่องไวของเยาวชนในเรื่องเพศแถมยังถ่วงความเจริญของประเทศอีกด้วย ตรงนี้ ผมไม่ได้พูดถึงผู้หลักผู้ใหญ่ที่ยึดมั่นปรัชญา “อย่าชี้โพรงให้กระรอก” นะครับ

ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่อาจปฏิเสธว่า เรื่องเพศ เพศวิถี เพศศึกษา อัตลักษณ์ทางเพศ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเราตั้งแต่ตื่นนอนยันล้มตัวลงหลับ เรียกว่า เรื่องเพศเป็น “แก่นชีวิต” เลยก็ได้ เพราะเรื่องเพศไม่ได้เกี่ยวแค่ว่า ใครกะใครมีไรกัน แต่เกี่ยวโยงถึงสุขภาพทางเพศ สุุขภาพทางจิต ทักษะการใช้ชีวิต ฯลฯ

ปัญหาของประเทศหลายๆ ประเด็นล้วนเกี่ยวกับเพศ ไม่ว่าจำนวนสส. หญิงในสภา มีน้อยเกินไป สส. ชายไม่เข้าใจคำว่า ข่มขืนภรรยา สิทธิของประชาชนชายหญิงที่ไม่เท่าเทียม นกเขาไม่ขัน หรือขันเร็วเกิน รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพของเยาวชนที่คิดว่า มีอะไรกันไม่ต้องใช้ถุงยาง มันเรียกว่าความรัก ฯลฯ

แต่ที่ผ่านมาหลักสูตรเพศศึกษามุ่งเน้นแต่เรื่องเพศทางสรีระ เรื่องเครื่องเพศ เรื่องอวัยวะทำงานเพื่อการสืบพันธ์ุ แต่ไม่พูดเรื่องประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเพศ ค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย สังคม วัฒนธรรม หรือวิถีชีวิตชาวบ้านที่ไม่ใช่คนเมือง และอีกเรื่องที่สำคัญและมาแรงในยุคนี้ ก็คือ เรื่องความหลากหลายทางเพศ

อาจารย์หญิงท่่านหนึ่งยืนขึ้น ถามว่า ผมเองบอกแม่ยังไงตอนนั้น บอกเมื่อไหร่ว่าผมเป็นเกย์? ผมก็เล่าให้ฟังคร่าวๆ แต่ดูเหมือนเธอจะยังไม่พอใจในคำตอบ หลังงานบนเวทีเสร็จ นอกรอบ อาจารย์หญิงวัยกลางคนท่านนั้นเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

เธอเล่าว่า ไม่เคยคิดว่าจะเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ เพราะปกติเป็นคนแก้ปัญหาให้คนอื่นเป็นประจำในฐานะอาจารย์อาวุโส สิ่งที่อาจารย์เรียกว่าปัญหาคือ “ลูกชายน่ะค่ะ เค้าชอบร้องเพลงผู้หญิงทั้งนั้นเลย ชอบทำกับข้าว แล้วก็ชอบมาบอกว่า แม่แต่งตัวไม่สวย ต้องแต่งหน้้าด้วยยังโง้นยังงี้ แล้วเพื่อนเค้าแต่ละคนก็ออกแนวหญิงๆ น่ะค่ะ”

ผมถามไปว่า “แล้วลูกเคยพูดเหรือเปล่าครับว่า เค้าชอบผู้ชาย เค้าไม่ชอบผู้หญิง เค้าเคยคุยกับคุณแม่ตรงๆ มั๊ย”

“อ๋อ คือเค้าไม่เคยบอกค่ะ แต่ตอนเค้าเล่นเอ็ม (MSN) เค้าตั้งชื่อตัวเองว่า ‘เกย์น่ารัก’ อย่างนี้ เค้าเป็นหรือเปล่าคะ?”

ผมมองหน้าคุณแม่นิดหนึ่งเพื่อดูว่า เธอกำลังพูดให้ผมขำเล่นหรือเปล่า แต่ไม่มีสัญญาณแบบนั้นบนหน้าเธอ “เอ่อ อย่างนี้ก็ชัดเจนนะครับ ลูกคงอยากจะบอกอ้อมๆ แล้วเค้ากลัวอะไรหรือเปล่า”

“คือพ่อเค้าจะเกลียดมากเรื่องพวกนี้น่ะค่ะ แล้วก้ออีกอย่าง พี่สาวเค้า ลูกสาวคนโตน่ะคะเป็นทอม เห็นคบเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิง ดูสิคะ บ้านนี้มีครบเลย แต่ลูกชายคนเล็กคงไม่เป็นมั้ง เพราะเค้าดูห้าวๆ”

ผมเกือบจะบอกไปว่า มีเด็กช่างกลเป็นเกย์กันเยอะนะครับคุณแม่ แต่ห้ามใจได้ทันซะก่อน

คุณผู้อ่านครับ ผมคิดว่า เพศศึกษาจึงไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่จะจ้องสอนเยาวชน หรือครูมีหน้าที่ต้องคอยสั่งสอนนักเรียน หรือผู้ปกครองพ่อแม่ เอาแต่จะยกหน้าที่นี้ให้ครู หรือให้โรงเรียนทำฝ่ายเดียว แต่ด้วยความรอบด้านที่ว่านี้ ผมอยากจะเห็นว่า หลักสูตรเพศศึกษาไม่เพียงมีไว้ให้เฉพาะเยาวชน แต่ควรมีไว้ให้ทุกๆ คน รวมถึงผู้ใหญ่ด้วยที่รับข้อมูลบิดเบือนเรื่องเพศมาตั้งแต่เด็ก

กลุ่มคนหลากหลายทางเพศเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของการถูกกระทำจากสังคม รวมถึงจากคนในครอบครัว เพราะข้อมูลบิดเบือนเรื่องเพศฟุ้งกระจายไปทั่ว

คำพูด การกระทำ ความเชื่อผิดๆ ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกต่ำต้อย ด้อยค่า และไร้ศักดิ์ศรี ผมก็ได้แต่หวังว่า หากหลักสูตรเพศศึกษายุคใหม่ และการรณรงค์เรียนรู้เรื่องเพศรอบด้าน ทำได้อย่างที่ประเทศไทยเคยรณรงค์ระดับประเทศเรื่อง “ถุงยางอนามัย ร้อยเปอร์เซ็นต์” คงทำให้อคติทางเพศในสังคมไทยลดลง

แต่อคติทางเพศคงไม่หมดไปหรอกคับ เพราะเชื้่อชั่วตายยาก…

ในงานสัมมนา ก่อนหัวข้อถัดไปจะเริ่มขึ้นแล้ว และก่อนจะแยกจากกันในห้องสัมมนานั้น ผมยื่นนามบัตรให้คุณครูท่านนั้น แล้วบอกว่า

“คุณแม่ครับทำใจให้สบายนะครับ ผมคิดว่า คุณแม่มีลูกที่น่ารักมาก เค้าไม่แอบ เค้าไม่ปิดบังคุณแม่ เพราะเค้าไว้ใจคุณแม่ไง ผมคิดว่าเขาโชคดี ที่มีแม่แบบนี้นะครับ”

จากหน้าม่านมายา 13 ต.ค. 2009 วิทยา แสงอรุณ
___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th อีเมล์ vitayamail@gmail.com

ข่าวลือเกย์กับคนดัง

พิเศษ

หน้าม่านมายา 15 ก.ย. 2009 วิทยา แสงอรุณ

he8

ยังไม่มีใครนับให้ชัดๆ ลงไปว่า เฉพาะในสื่อสิ่งพิมพ์มีสัดส่วนข่าวคราวเกี่ยวกับดาราหรือนักร้อง ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเกย์อยู่ร้อยละเท่าไหร่ของบรรดาข่าวบันเทิงทั้งหมด

แต่หากจะประเมินคร่าวๆ คุณผู้อ่านคงจะไม่ปฏิเสธว่า เห็นและได้ยินอยู่แทบทุกวัน

ขณะที่ข้อสงสัยในทำนองเดียวต่อคนดังที่เป็นสตรีมีน้อยกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด และเนื้อหาที่นำเสนอ ส่วนใหญ่จะเป็น “…ควงสาวหล่อ” ซึ่งแท้จริงแล้ว มีคนดังที่ควงคนดังและมีสัมพันธ์แบบเพศเดียวกัน โดยที่ทั้งคู่เป็นสาวสวย แต่ผู้คนก็มองไม่ออก เลยไม่เป็นข่าว

นั่นนะสิครับ ใครจะมาพาดหัว “นักร้องสาว…ควงสาวสวย?

นอกจากนี้ เมื่อใดที่เกิดข่าว “ควงสาวหล่อ” คุณอาจจะสังเกตได้ว่า เนื้อหาของข่าวจะไม่เจาะลึก รุมเร้า กระแทกกระทั้น หรือเป็นข่าวซ้ำๆ ติดๆ กัน เท่ากับฝ่ายชายหากตกพวกเขาเป็นเป้าหมาย

เราจะฟันธงลงไปได้เลยหรือไม่ว่า “ข่าวลือเกย์” มักจะได้รับความสนใจจากคนอ่านมากกว่า “ข่าวลือสาวหล่อ”?

ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะ ข่าวบันเทิง มีผู้อ่านเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย?

และสาเหตุที่โดนใจผู้อ่านหญิงมากกว่า ก็เป็นเพราะดาราชายที่โดนลือว่าเป็นเกย์ ไม่ส่งผลกระทบทางด้านจิตใจต่อผู้ชมที่เป็นชาย แต่ผู้หญิงจะรู้สึกเดือดร้อนทุกที เมื่อมีข่าวลือเกย์ พวกเธอคงรู้สึกผิดหวัง

“ข่าวลือเกย์” จึงขายได้เสมอ

แต่น่าเสียดาย “ข่าวลือเกย์” ส่วนใหญ่ที่ได้รับรายงานไม่ได้ทำหน้าที่อื่นๆ ที่ควรจะทำ แต่ทำสิ่งซ้ำๆ กันอยู่ไม่กี่อย่าง

“ข่าวลือเกย์” ทำหน้าที่ “จับผิด” โดยต้องการจะบอกผู้อ่านว่า ดาราหรือคนดังคนนั้น “กำลังแอ๊บแมน” การ “แอ๊บแมน” จึงไม่ต่างอะไรกับการกระทำที่เข้าข่าย “หลอกลวง” “แหกตา” หรือ “ลวงโลก”
ผู้ที่นำเสนอ “ข่าวลือเกย์” กำลังทำตัวเหมือนผู้้ตรวจตราสอดส่อง และแจ้งเตือน “ด้วยความปรารถนาดี” โดยเฉพาะให้กับสาวๆ แฟนคลับว่า นักร้องหรือดาราคนนี้เค้า “เป็น” นะตัวเอง อย่าไปหลงเพ้อละเมอหาเข้าล่ะ!

“ข่าวลือเกย์” ในอีกมุมหนึ่ง ก็ทำหน้าที่สนับสนุนข่าวรักๆ ใคร่ๆ ที่มีอยู่แล้วให้มีสีสัน “น่าเม้าท์” ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข่าวคุณป. ชวนคุณณ. นักร้องดังไปเที่ยวผับ คุณต. แอบควงคุณช. ไปห้าง คิดๆ ดูนะครับ ถ้ามีแต่ข่าวดาราหรือคนดังชายควงสาวๆ ไม่ซ้ำหน้า หรือข่าวรักๆ เลิกๆ ของคนใดคนหนึ่ง ข่าวบันเทิงก็จะดูเหมือนๆ กันหมด

การนำเสนอ “ข่าวลือเกย์” ในที่นี้จึงช่วยให้ข่าวบันเทิง “บันเทิง” ขึ้นไปอีก

คำถามตรงนี้ก็คือว่า ในเมื่อมันเป็นข่าวบันเทิง เราจะมองมันแค่เรื่อง “บันเทิง” แบบ “ชิลๆ” ไม่ต้องคิดมาก ได้หรือไม่?

คำตอบก็คือ ก็น่าจะได้ เพราะมันเป็นแค่ข่าวบันเทิง แต่ในความเป็นจริง มันก็เป็น “ข่าว” ด้วย ซึ่งมีผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดของสาธารณชน ถ้าเราบอกว่า มันเป็นแค่ข่าวบันเทิง ก็ไม่ต้องคิดมากหรอก เรากำลังหมายความว่า แล้วข่าวบันเทิงก็ไม่ต้องมีจริยธรรมในการนำเสนอ อย่างนั้นเหรอ?

สำหรับผมมองว่า “ข่าวลือเกย์” ซึ่งอยู่ในหน้าบันเทิงกำลังทำหน้าที่ตรวจตรา สอดส่อง หรือจ้องจะ “แฉ” ก็แล้วแต่ กำลังส่งสัญญาณว่า การปกปิด หลอกลวงว่า ตนเป็นชายทั่วไป (ไม่ใช้คำว่า ชายแท้) ไม่ได้เป็นชายเกย์ เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคม สมควร “ถูกแฉ”

ทว่า หากมองในมุมกลับกัน ถ้าคนดังคนนั้นไม่ได้ปกปิด แต่กลับเปิดเผยคู่รัก หรือคนรัก หรือความรักของเขา แล้วสังคมจะยอมรับได้มั๊ย? แล้วต่อไปพวกเขาจะยังคงรับบทพระเอกตบจูบ เจ้าชู้ยักษ์ หรือมาดบู๊นักเลงโตต่อไปอีกได้หรือไม่?

ถ้าคำตอบคือ “ไม่” บุคคลเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้อง “ถูกแฉ” เพราะคนดูต้องการให้พวกเขาเป็นในสิ่งที่คนดูต้องการจะให้เป็น คนดูต้องการเชื่อในสิ่งที่เห็น

คนดูถูกละเลย และไม่เคยได้รับการบอกเล่า หรือตอกย้ำจากสื่อเลยว่า เป็นเกย์ ก็ไม่เป็นไร ยังทำงานบันเทิงเหมือนเดิมได้ การยอมรับตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และต่อคนอื่นต่างหาก นั่นแหละเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ กับเพื่อน จัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน
ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th หรือดูที่ http://bangkokradioformen.hi5.com
อีเมล์ vitayamail@gmail.com

ชายชู้ประตูสีม่วง (ไม่ค่อยชอบสีม่วงเท่าไหร่ แต่เอาเหอะ…)

พิเศษ

spd_20090713114614_b

สวัดดีครับ แฟนๆ บล็อค

พอได้รับแจ้งว่า ตีสิบจะเอาเทปสัมภาษณ์เกย์คนหนึ่งที่จัดงานแต่งงาน
ที่อัดไว้นานแล้วมาออกรายการก็รีบโทรแจ้งเพื่อนๆ ทันที ให้ดู
ดูตัวอย่างก่อนหน้า รู้สึกอัดใจยิ่งหนัก เพราะภาพหนุ่มในสองนั่น
โดนทำเบลอ อะไรนะเนี่ย ไหงต้องเบลอด้วย

พอถึงรายการจริง ก็เข้าใจ ที่เบลอเพราะอีกหนึ่งหนุ่ม
เค้าไม่ได้แสดงความจำนงว่าจะมาออกรายการด้วย
แต่เพราะเขาเป็นคู่กรณีกัน

ได้ฟังสัมภาษณ์ก็อึดอัดใจเล็กน้อย (ไม่น้อยล่ะ จริงๆ มาก)
ทำไม เหมือนรายการแฉ เลยล่ะ เหมือนพูดฝ่ายเดียว
แล้วจริงๆ คุณพี่เป้ เธอทำอะไรมาบ้าง หรือไม่ได้เล่าอะไร
ถึงได้เจอเรื่องราวร้ายๆ เช่นนี้ ไม่ได้ล่ะ อยากสัมภาษณ์เอง
ทุกเม็ด

ต้องขอบคุณโปรดิวเซอร์และเจ้าหน้าที่รายการตีสิบ
นะครับที่ช่วยติดต่อให้ รู้สึกเป็นพระคุณยิ่ง

สามทุ่ม ครึ่ง หนุ่มหน้ายิ้ม อารมณ์ดี ก็มาที่สถานี
เราพูดคุยซักถามกันให้แน่ก่อนว่า จะถามอะไรได้
จะถามอะไรแล้ว ไม่อยากตอบ ก็เพราะมันรายการสด
อ้ะนะ พลาดอะไรไป แก้ไขไม่ได้ล่ะครับ

เค้าตอบทุกเรื่อง!
ยกเว้นเรื่องที่ทำงาน เพราะเริ่มโดนเพ่งเล็ง
ส่วนน้องคู่กรณี น่าจะเรียกว่า แฟนเก่า คนนั้นก็ยังทำงาน
อยู่ในพื้นที่สนามบินเหมือนกัน แล้วสองคนก็ยังเจอหน้ากัน
ทุกวัน แต่ทำเป็นเห็นอากาศธาตุ ไม่รู้ว่า มันเป็นยังไง
แต่มันคงยากมากๆ ที่เห็นคนเคยรัก เดินผ่านมา

สัมภาษณ์ถามหมดทุกเรื่องที่ใจอยากถาม
และคิดว่า ครอบคลุมดีแล้วล่ะครับ
พอกลับบ้าน ยังไม่ง่วง ก็เลยหยิบหนังสือ
ที่ผู้ให้สัมภาษณ์มอบให้ มาอ่าน อ่าน อ่าน จนจบตอนตีสาม

ต้องบอกว่า ผู้ชายคนนี้ อาจจะรักพี่เป้อยู่บ้าง แต่คงเป็นขณะสั้นๆ
และดูเหมือนเค้าจะพยายามจะรัก แต่เค้าไม่อาจทำได้
เพราะเค้าเป็นคนไม่นิ่ง ไม่พอ ไม่ค่อยมีสติ ไม่คิด
(สงสัย ไม่กินปลา เหมือนที่ในหนังสือเขียน เลยไม่มีโอเมก้า 3)

ใครยังไม่ได้ฟังคลิป โหลดไปเลยครับ
ส่วนใครอยากรู้เรื่องราว เหลือเชื่อว่า มีคนแบบนี้ในโลก
(หมายถึงทั้งสองคนนะ) ก็ไปหาอ่านได้ ร้านนานอินทร์
หรือไม่ก็รอแป๊บ ที่ 7-11

(เล่มนี้ เจ้าตัวควักเงินพิมพ์เอง และตอนแรกบอกว่า
จะตั้งชื่อว่า ชายชู้ประตูหลัง แต่มีคนบอกว่า แรงไป
เดวเข้าร้านหนังสือไม่ได้)

โหลดไปฟังเลย คนที่รักแล้วช้ำ คนที่บอกว่า
ไม่มีรักแท้ ลองฟังดู…

สัมภาษณ์พี่เป้ (คุณพัฒน์ สุวรรณโรจน์) เรื่องราวความรัก
ที่จบลงไปพร้อมบทเรียนชีวิตเล่มโต

ช่วงที่1
http://www.mediafire.com/?inxu4utfykz

ช่วงที่ 2
http://www.mediafire.com/?wxzwmzyhwhz

แสดงออก? ไม่แสดงออก?

พิเศษ

2009081710222144142

หน้าม่านมายา 1 ก.ย. 2009 วิทยา แสงอรุณ

“คุณแสดงออกหรือเปล่า?”
“ผมไม่แสดงออกนะ!”
“ผมไม่ชอบ คนแสดงออก”

คำว่า “แสดงออก” ข้างต้น ไม่เคยถูกใช้ในหมู่ชายหญิงทั่วไป แต่ในหมู่เหล่าเกย์แล้ว คำๆ นี้ มักได้ยินกันบ่อยๆ ทั้งในโทรศัพท์ ออนเอ็มฯ (MSN) หรือบนกระดานประกาศต่างๆ โดยที่เหล่าชายรักชายเองหลายๆ คน รวมทั้งผมด้วย ก็ยังงงๆ อยู่ทุกๆ ครั้งว่า คนพูดกำลังหมายถึงอะไรกันแน่?

จนต้องย้อนถามกลับไปว่า “เอ่อ…คุณครับคุณ ที่คุณบอกว่า คุณไม่แสดงออก หมายถึง

1) คนมองไม่ออกว่า คุณเป็นเกย์? หรือ 2) คุณไม่ได้ออกแนว “สาว”? หรือ 3) คุณไม่ต้องการบอกใครๆ หรือยอมรับกับใครๆ ว่า คุณเป็นเกย์ หากถูกถาม?

มันช่างคลุมเครือโดยแท้ แต่มีข้อน่าสังเกตก็คือว่า คนที่ใช้คำนี้กับคนอื่น มักจะเป็นเหล่าเกย์ที่แลดูเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ไม่ได้มีจริตของหญิง ไม่มีการแต่งตัว หรือมีสัญลักษณ์ใดๆ ที่จะทำให้คนทั่วไปรู้ได้ว่า ตนเป็นเกย์

และเกย์ที่บอกว่า ตนเอง “แมนๆ” เหล่านี้ จะเลือกที่จะไม่คบค้า หรือเดินไปไหนมาไหนด้วยกับคนที่ “ออกสาว” พวกเขาจะใช้คำถามสั้นๆ กับอีกฝ่าย ก่อนจะพบกัน หรือนัดเจอว่า “’คุณออก’ หรือเปล่า?”

แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

ในภาพใหญ่ เมื่อสังคมยังไม่ได้เปิด และยังมีผู้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศอยู่มาก จะพบว่า มีบางคนที่ไม่เข้าใจแต่ก็จะไม่ “แสดงออก” ว่า ไม่เห็นด้วย หรือแสดงอาการดูถูกดูแคลน แต่ก็มีบางคนที่ “แสดงออก” ว่า รังเกียจและไม่อยากคบค้าสมาคมคนที่เป็นเกย์

ผู้ชายที่เป็นเกย์ส่วนใหญ่ และไม่ได้มีจริต “สาว” จึงมักจะระมัดระวังตัว กลัวคนจะรู้ว่า ตนเป็นเกย์ คำว่า “ไม่แสดงออก” ของคนกลุ่มนี้ จึงมีความหมายรวมไปถึง ไม่มีใครรู้หรอกว่า ผมเป็นเกย์  และอีกนัยหนึ่งก็คือ จะไม่ให้เกย์คนอื่นที่ถูกมองรู้ว่าเป็นเกย์ เข้าไปใกล้ๆ ตัวเขา เพราะเขากลัวสายตาของสาธารณชน

เมื่อเป็นดังนี้ จะบอกได้ไหมว่า การที่เกย์ “ออกแมน” ไม่ยอมรับตัวตนและการแสดงออกของเกย์ “ออกสาว” จึงกลายเป็น “การกีดกันทางเพศซับซ้อน”

นอกจากสังคมใหญ่จะมีความรู้สึกกีดกันความแตกต่าง และไม่ยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศ รวมถึงสิทธิทางเพศแล้ว ในหมู่เกย์เอง ก็มีการแบ่งแยก และรู้สึกกีดกันกันเองเช่นกัน เช่นเดียวกับเกย์บางคนที่ไม่ชอบกะเทย

“การแสดงออก” หรือ “การไม่แสงออก” จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเข้าใจในตัวเอง ระดับการยอมรับตัวเองของคนเป็นเกย์ โดยเฉพาะเกย์ที่คนมองไม่ออกว่า เป็นเกย์

ส่วนเกย์ที่ออกสาว (feminine gays) นั้น พวกเขาก็ไม่ได้ความตั้งใจจะออกสาว ให้คนหันมามอง แล้วขมวดคิ้ว ผมเดาเอาเองว่า คงเป็นธรรมชาติของพวกเขาที่ทำให้เขาแสดงออกเช่นนั้น พวกเขา  “แสดงออก” ในสิ่งที่พวกเขารู้สึก แล้วมันผิดตรงไหน?

ระดับของการยอมรับตัวเองของคนเป็นเกย์นั้น มีความแตกต่างกันไป บางคนยอมรับว่า ตัวเป็นเกย์ กับแค่เพื่อนสนิท บางคนยอมรับกับคนที่บ้าน แต่ไม่มีวันให้คนในที่ทำงานรู้เด็ดขาด หรือบางคนตรงกันข้าม จะระวังไม่ให้เจ้านาย เพื่อนร่วมงานรับรู้

ชาวต่างชาติหลายคนมาเที่ยวเมืองไทย แล้วไปเดินสีลม ซึ่งเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวไปถูก และรู้จักมากกว่าย่านเกย์อื่นๆ ในกทม. พวกเขามักจะคิดไปว่า เหล่าเกย์ที่เดินอยู่ที่สีลมมากมาย เป็นผู้ที่เปิดเผยตัวแล้ว ถึงกล้ามาเดิน หรือมาเที่ยวกันที่นี่ แต่ในความจริง การปรากฏตัวที่สีลม กับการเปิดเผยตัวที่บ้าน หรือที่ทำงาน เป็นคนละเรื่องกัน เกย์หลายคนที่มาเดินที่สีลม ไม่ใช่ทุกคนนะครับ ไม่คิดว่าจะเจอใครจากทางบ้าน หรือจากที่ทำงานยามมาพักผ่อนที่สีลม พวกเขาจึงไปสีลมได้บ่อยๆ

การแสดงออก หรือไม่แสดงออกเกี่ยวข้องแค่ “การแสดงออกภายนอก” เช่น ท่าทางการเดิน การพูดจา การแต่งตัว จริตจะก้านเท่านั้นหรือไม่?

ผมพบว่า ในบางกรณี คำว่า “แสดงออก”  หรือ “ไม่แสดงออก” มันครอบคลุมไปถึง การแสดงออกทางความคิด การแสดงออกทางทัศนคติ หรือสิ่งที่กระทำอีกด้วย

ดังนั้น จึงมีเกย์บางกลุ่ม หรือเกย์บางคนที่ไม่มีใครมองออกว่า ตนเป็นเกย์ รวมถึงเกย์ที่นิยมในมายาคติของ “ความเป็นแมน” และดูแคลน “ความเป็นสาว” จะเป็นกลุ่มคนที่แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเรื่องราว เหตุการณ์ สิ่งรอบตัวใดๆ ที่เกี่ยวกับเกย์ พวกเขาจะใช้ชีวิตเยี่ยงคนทั่วไปที่เป็นผู้ชายที่รักผู้หญิง ไม่รับรู้ ไม่ติดตามอะไรที่เกี่ยวกับเกย์ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ พวกเขาบอกตัวเองว่า เขาแค่เป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชาย ก็แค่นั้น
หากจะบอกว่า ในโลกนี้มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “เกย์คัลเจอร์” (Gay Culture – ซึ่งบางคนก็บอกว่ ามี บางคนก็ตั้งข้อสงสัยอยู่ว่า มันคืออะไรกันแน่)  คนกลุ่มนี้จะนึกไม่ออกว่า คนพูด พูดถึงอะไร

ความเป็นเกย์คือความหลากหลายอย่างหนึ่ง เกย์ไม่ได้มีแบบเดียว และผมเชื่อว่า เกย์ที่ออกสาว หรือเกย์ที่โดนเกย์สาวเรียกว่า พวก “เก๊กแมน” ก็ไม่ได้มีอยู่แบบเดียว เช่นเดียวกับผู้ชายที่รักผู้หญิง บางคน ก็ “ออกสาว” โดยที่ตัวเอง ไม่ได้เป็นเกย์

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th  Hi5: http://bangkokradioformen.hi5.com email: vitayamail@gmail.com

-end-

รายการ Bangkok Radio For Men วันที่ 30 ส.ค. 2009

พิเศษ

สวัสดีครับชาวบล็อค รายการคืนวันอาทิตย์ อยากสำรวจคนฟังว่า
มีทัศนคติอย่างไร เกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัย ต้องบอกว่า น่าสนใจ
และน่าตกใจ ฟังไว้ ได้แง่คิดนะ

ช่วงที่ 1: ข่าวเด่น ข่าวดัง ข่าวแปลก ทั่วโลก ละเมิดสิทธิเด็ก โค้ชทีมอิตาลี ไม่รับลูกทีม
ที่เป็นเกย์และเป็นแฟนกัน ข้ออ้าง…ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ คิดได้ไง และข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ช่วงที่ 2: ช่วงเปิดประเด็น เมื่อกวางเหลียวหลังไป พบเก้งไม่ได้ใส่ถุงยาง จะทำยังไง
ใครเป็นรุกให้เรียกตัวเองว่าเป็นเก้ง ส่วนใครรับ เรียกแทนตัวเองว่า กวาง
พบหลากหลายความเห็น หลากหลายชีวิต…ชั้นทุ่มเทให้เค้า ทั้งร่างกายและเงินทอง
แต่เค้าก็ไม่เห็นจะรักชั้นเลย? ชั้นมีเซ็กซ์กับเค้า โดยไม่ป้องกันอีกตะหาก???
น้องเก้งคนหนึ่ง เผย สอยรุ่นน้องโดยไม่ป้องกัน เค้าคิดอะไรอยู่?

(เลือก  copy เอานะ แล้วไปเปิดในบราว์เซอร์ แล้วโหลดไฟล์ลงมานะครับ)

http://www.mediafire.com/?i5ktyymhjfy
(10.58 MB)

<a href=’http://www.mediafire.com/?i5ktyymhjfy’>http://www.mediafire.com/?i5ktyymhjfy</a&gt;
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ช่วง 3+4

ต่อ…ประเด็นเปิดสาย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ทั้งเก้ง และกวางหลายท่าน
ไม่ใช้ถุงยาง เมื่อกลายมาเป็นแฟนกัน ทำไม อย่างไร ความไว้ใจกันคือ
คำตอบที่จะไม่ใช้เหรอ? ส่วนคนใช้ประจำกับแฟน เค้าคิดยังไง?
พอเราเป็นแฟนกันแล้ว ถุงยางคือสิ่งแปลกปลอมสำหรับความสัมพันธ์
ของเราทั้งสองเหรอ?

(เลือก  copy เอานะ แล้วไปเปิดในบราว์เซอร์ แล้วโหลดไฟล์ลงมานะครับ)

http://www.mediafire.com/?f45cozutym5
(11.7 MB)

<a href=’http://www.mediafire.com/?f45cozutym5′>http://www.mediafire.com/?f45cozutym5</a&gt;

สื่อบิดเบือนกับวรพจน์ เพชรขุ้ม

พิเศษ

2e21a1cc08425cba6ec77727571c0476
ใครที่ได้ดูอัลบั้มภาพของนักมวยฮีโร่ขวัญใจชาวไทย วรพจน์ เพชรขุ้มในนิตยสาร “STAGE” แล้วมีสติดีอยู่ คงต้องถามตัวเองว่า “นู้ดตรงไหน”? เพราะพลิกดูทั้งเล่มก็ไม่ปรากฏ วรพจน์ ในสภาพไร้อาภรณ์ใดๆ ก็มีแต่กางเกงว่ายน้ำในสไตล์และสีสันต่างๆ

ปลายเดือนกรกฎาคม สื่อมากมายลงข่าวครึกโครมโดยใช้คำว่า “วรพจน์นู้ด” เป็นตัวจุดประเด็น และตามด้วยคำว่า “เกย์” บ้าง หรือ “ชาวสีม่วง ”บ้าง สร้างความตื่นเต้นและกังขา จนเป็นที่มาของคำถามนานาว่า วรพจน์เป็นเกย์หรือเปล่า? วรพจน์หมดตัว จนต้องยอมเปลื้องผ้าถ่ายแบบให้ “นิตยสารเกย์”?

คำว่า “นู้ด” และคำว่า “เกย์” สามารถสร้างผลสะเทือนต่อการรับรู้และขัดเคืองต่อมจริยธรรม และศีลธรรมอัน “ดีงาม” ได้อยู่เสมอ จนคนอ่าน คนฟัง คนได้ยินข่าวที่ไม่ทันได้ “คิดทัน” จะเกิดอาการอึดอัดและอยากหยัดยืนขึ้นมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องมาตรฐานเหล่านี้
ในสังคมไว้อย่างแข็งขัน

เวลาใครพูดคำว่า “เกย์” ขึ้นมาทีไร คุณผู้อ่านคงปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมว่า จะนึกถึงภาพๆ หนึ่ง คือ ภาพของผู้ชายสองคนกำลังมีเพศสัมพันธ์กันทางประตูหลัง?

นั่นเป็นภาพลักษณ์อย่างหนึ่งที่ฝังอยู่ในห้วงคิดคำนึงของคนทั่วไปอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆ ที่ก็มีเกย์หลายคนไม่สนใจประตูหลัง

แต่เป็นเพราะเกย์ “ถูกทำให้” เป็นเช่นนั้นเสมอ โดยที่คนทั่วไปมักไม่่แยกแยะเรื่อง ตัวตน สิทธิทางเพศ และเรื่องส่วนตัวบนเตียง และนิยมเอาสิ่งที่ตัวเองคิดว่า “เป็นมาตรฐาน” ทางกามารมณ์ของตนเป็นตัวชี้วัด และตัดสินผู้อื่น

และเวลาวาดภาพเหล่านั้นขึ้นมา คุณก็อาจจะอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการกระอักกระอ่วน และรู้สึกต่อต้าน เพราะในบางครั้ง ก็นึกวาดภาพตัวเองไป
แทนที่ในตำแหน่งแห่งที่กามารมณ์นั้น แล้วก็ “รับ” ไม่ได้

9fd23ee923c0fdcd03c1c458eaf74f3e

ในความเป็นจริงแล้ว วรพจน์ไม่ได้ถ่ายนู้ด และนิตยสาร STAGE ก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นสำหรับกลุ่มชายรักชายตั้งแต่แรก สองเรื่องนี้ไม่ได้รับการรายงานอย่างตรงไปตรงมาในหนังสือพิมพ์ บรรณาธิการของนิตยสารดังกล่าว กล่าวว่า บางครั้งนิตยสารก็มีนางแบบเป็นผู้หญิงในชุดว่ายน้ำ เพราะอยากทำนิตยสารชุดว่ายน้ำ ซึ่งเป็นช่องว่างทางการตลาด

ถ้าข้อมูลดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ก่อนหน้านี้ ก็คงไม่ทำให้พิธีกรรายการเจาะใจที่สัมภาษณ์วรพจน์ไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคม โดยตั้งหัวข้อว่า “เปลือยฮีโร่” ต้องแสดงอาการแปลกใจ หลังจากพลิกนิตยสารดังกล่าวทั้งเล่ม และอุทานว่า ทำไมมีแต่วรพจน์ในชุดว่ายน้ำ?

ในรายการเจาะใจ วรพจน์ได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวความเป็นมาก่อนไปถ่ายแบบ ระหว่างถ่าย และความรู้สึกหลังจากนั้นของเขาอย่างตรงไปตรงมา ผมเชื่อว่า ใครที่ได้ดูต้องบอกว่า ฮีโร่ขวัญใจชาวไทยคนนี้ ช่างดู “ซื่อจริงๆ”

และความซื่อของเขาก็อาจมีส่วนชวนให้ใครๆ รวมถึงสื่อมวลชนผู้หวังดีคิดว่า ที่ไปถ่ายแบบที่นิตยสารนั้นมา เพราะคงถูก “ล่อลวง” หรือถูกหลอก แน่ๆ เลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากคำว่า นิตยสารเกย์ จะพกคำว่า “นู้ด” “เปลือย” และ “ผิดศีลธรรม” ติดมาด้วยแล้วจากข่าวดังกล่าว ยังมีคำว่า “ผู้ร้าย” และ “หลอกลวง” พ่วงมาด้วย

ภาพลักษณ์ในแง่ลบเหล่านี้เองที่ทำให้คนทั่วไป ไม่เข้าใจเกย์ และความเป็นเกย์ เสมอมา

aa41c5c4b7afffc35b640306fd02137d

บทความนี้เขียนขึ้นก่อนจะมีการประชุมกรรมการสมาคมมวนสมัครเล่น จึงไม่ทราบว่า ผลการตัดสินออกมาเป็นอย่างไร แต่จากรายการ  “เจาะใจ” ดูจากปฏิกิริยาของวรพจน์แล้ว เหมือนเขาไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร และเขายังย้ำอีกด้วยว่า ผลงานในนิตยสารฉบับนั้นคือ ภาพแฟชั่น ไม่ใช่ภาพนู้ด และ “เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดอะไร”

คนที่มีสติแยกแยะได้ดีอยู่รู้ดีว่า ถ้าเขาใส่ชุดเดียวกัน และเป็นแบบถ่ายภาพลงในนิตรสารผู้หญิงทั่วไป ก็คงไม่มีการตั้งคำถามพวกนี้

บรรณาธิการของ STAGE กล่าวว่า ถ้าสมาคมฯ และคนทั่วไปคิดเสียใหม่ว่า วรพจน์เป็นฮีโร่ของทุกๆ คน การที่ผู้ชาย หรือคนดังคนหนึ่งไปถ่ายภาพในนิตยสารที่มีเกย์ซื้ออ่าน ก็ไม่เห็นจะผิดอะไร

ผมเลยอยากจะเพิ่มว่า นิตยสารผู้หญิงตั้งหลายฉบับ ก็มีเกย์ซื้ออ่าน

เรื่องนี้ไม่น่าจะมีใครผิด แต่สุดท้าย เกย์ก็ยังเป็นจำเลยในความรู้สึกของคนทั่วไปอยู่ดี ถ้าคนในสังคมยังยึดติดอยู่กับ “ความรู้สึก” เหนือ “การใช้เหตุผลและข้อเท็จจริง” เวลาตัดสินเรื่องราวใดๆ ไม่ว่าจะสีม่วง สีเหลือง หรือสีแดง
พลาดไม่ได้  ละคร “นางฟ้านิรนาม” เรื่องราวชีวิตของ “เภสัชกรยิปซี-ดร. กฤษณา ไกรสิทธุ์ 20-30 สิงหาคมนี้ เวลา 19.00 เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบ 14.00 ที่สตูดิโอ 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ติดต่อ 02-2184802, drama.arts@gmail.com ซื้อบัตรที่ศูนย์หนังสือจุฬา สาขาสยามสแควร์และจัตุรัสจามจุรี และอีกรายากรหนึ่ง Queer Shorts ด้วยหนังสั้น 5 เรื่องเด็ด ในเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 13 ฉายวันพฤหัสบดีที่ 20 ส.ค. 18.30 ห้อง Auditorium ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร รับบัตรเข้าชมล่วงหน้าได้ 1 ชั่วโมง รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.thaishortfilmfestival.com หรือ thaishortfilmfestival@gmail.com หรือ โทร 080-557-9709

___________________________
วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th  อีเมล์ vitayamail @ gmail.com

20 สค. อย่าพลาด Queer Short Films ฟรีที่ศูนย์ศิลปฯ

พิเศษ

hungry or full 2

มาอีกแล้วครับท่าน ครั้งที่สองของ Queer Short Films ที่ทางผู้จัดนำมาเสนอ

มีหนังไทยอยู่หนึ่งเรื่อง โปรดดูรายละเอียดข้อมูลประชาสัมพันธ์ด้านล่างนะครับ
(ไม่ค่อยชอบคำว่า “ความสัมพันธ์แบบลักเพศ” เท่าไหร่ เพราะฟังดู เพื้ยน..)
แล้วพบกัน

ขอเชิญชมความโปรแกรม Queer Shorts ในเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 13

หลังจากที่ปีที่แล้ว ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับการประเดิมทำโปรแกรม  Queer Shorts ครั้งที่หนึ่ง ในปีนี้เทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 13 ก็ขอตอกย้ำความสำเร็จด้วยโปรแกรม Queer Shorts อีกครั้ง โดยในปีนี้จะเน้นไปที่หนังที่พูดเรื่องความสัมพันธ์แบบลักเพศ (Queer Relations) ซึ่งประกอบไปด้วย หนังสั้น 5 เรื่องจาก 5 ประเทศ และ 5 ความสัมพันธ์

SHADOW_OF_A_FIRE
โดยเริ่มจากหนังสั้นหญิงรักหญิง เรื่อง Shadow of a Fire จากประเทศฝรั่งเศส เล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังคงลุ่มหลงใฝ่เสน่หาจากผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ทิ้งเธอไป แม้เธอจะพยายามสร้างความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นๆ เธอก็ไม่สามารถหลุดออกจากบ่วงเสน่หานี้ได้

หนังสั้นเรื่องต่อมาเป็นหนังสั้นจากโปตุเกส เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของชายหนุ่มวัย 70 ที่หลงรักชายหนุ่มรูปงาม เจ้าของชื่อเรื่อง Heiko แต่ความรักของชายแก่ไม่ธรรมดาตรงที่ว่า สิ่งที่เขาหลงรักไม่ใช่ความหล่อเหลาของชายหนุ่ม แต่เป็นเท้าต่างหาก

Heiko

หนังสั้นเรื่องต่อมาเป็นหนังสั้นจากโปตุเกส เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของชายหนุ่มวัย 70 ที่หลงรักชายหนุ่มรูปงาม เจ้าของชื่อเรื่อง Heiko แต่ความรักของชายแก่ไม่ธรรมดาตรงที่ว่า สิ่งที่เขาหลงรักไม่ใช่ความหล่อเหลาของชายหนุ่ม แต่เป็นเท้าต่างหาก

ที่น่ายินดีก็คือ  ปีนี้ มีหนังสั้นจากประเทศไทยฉายในโปรแกรมนี้ด้วย  นั่นก็คือเรื่อง อาหาร 3 หมู่ ผลงานของอนุชิต มวลพรม ซึ่งเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของเพื่อนผู้ชายคู่หนึ่งที่ตั้งอยู่บนความยั่วเย้า และนั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถรู้ได้ว่า พวกเขาเป็นเพื่อนกันหรืออะไรกันแน่ (หนังสั้นเรื่องนี้ยังเข้ารอบรัตน์ เปสตันยี ปีนี้ด้วย และหนังจะฉายอีกรอบคือ วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม รอบ 15.00 น.)

Colors and Razors jpeg

หนังสั้นเรื่องต่อมา มาจากประเทศบลาซิลเรื่อง  About Colours and Razors หนังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของหนุ่มช่างเสริมสวยกับกระเป๋ารถเมล์สาวสุดโทรม เมื่อวันหนึ่งหนุ่มช่างเสริมสวยสังเกตเห็นความงามที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของเธอ เขาจึงเริ่มตีสนิทกับเธอ และนั่นนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่จะทะลายมายาคติเรื่องเพศอย่างที่สังคมส่วนใหญ่ในปัจจุบันเข้าใจ

Homo Baby Boom jpeg

ปิดท้ายโปรแกรมด้วยสารคดีจากประเทศสเปน เรื่อง Homo Baby Boom หนังสารคดีเรื่องนี้เล่าเรื่องครอบครัวสองแม่ และสองพ่อ ที่สามารถเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ดั่งใจพวกเขาปรารถนา เมื่อรัฐบาลประเทศสเปนได้ยอมให้ครอบครัวของคนรักเพศเดียวกันมีสิทธิ์ในการรับเลี้ยงดูลูกบุญธรรมได้

โปรแกรมความสัมพันธ์แบบลักเพศนี้ จะฉายในงานเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 13 ในวันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม ศกนี้ เวลา 18.30 น. ณ ห้อง Auditorium ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สามารถรับบัตรเข้าชมได้ล่วงหน้า 1 ชั่วโมง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaishortfilmfestival.com หรือ สอบถามได้ที่ thaishortfilmfestival@gmail.com
หรือโทร 080-557-9709

เชิญชมความโปรแกรม Queer Shorts ในเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 13
หลังจากที่ปีที่แล้ว ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับการประเดิมทำโปรแกรม  Queer Shorts ครั้งที่หนึ่ง ในปีนี้เทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 13 ก็ขอตอกย้ำความสำเร็จด้วยโปรแกรม Queer Shorts อีกครั้ง โดยในปีนี้จะเน้นไปที่หนังที่พูดเรื่องความสัมพันธ์แบบลักเพศ (Queer Relations) ซึ่งประกอบไปด้วย หนังสั้น 5 เรื่องจาก 5 ประเทศ และ 5 ความสัมพันธ์
โดยเริ่มจากหนังสั้นหญิงรักหญิง เรื่อง Shadow of a Fire จากประเทศฝรั่งเศส เล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังคงลุ่มหลงใฝ่เสน่หาจากผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ทิ้งเธอไป แม้เธอจะพยายามสร้างความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นๆ เธอก็ไม่สามารถหลุดออกจากบ่วงเสน่หานี้ได้
หนังสั้นเรื่องต่อมาเป็นหนังสั้นจากโปตุเกส เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของชายหนุ่มวัย 70 ที่หลงรักชายหนุ่มรูปงาม เจ้าของชื่อเรื่อง Heiko แต่ความรักของชายแก่ไม่ธรรมดาตรงที่ว่า สิ่งที่เขาหลงรักไม่ใช่ความหล่อเหลาของชายหนุ่ม แต่เป็นเท้าต่างหาก
ที่น่ายินดีก็คือ  ปีนี้ มีหนังสั้นจากประเทศไทยฉายในโปรแกรมนี้ด้วย  นั่นก็คือเรื่อง อาหาร 3 หมู่ ผลงานของอนุชิต มวลพรม ซึ่งเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของเพื่อนผู้ชายคู่หนึ่งที่ตั้งอยู่บนความยั่วเย้า และนั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถรู้ได้ว่า พวกเขาเป็นเพื่อนกันหรืออะไรกันแน่ (หนังสั้นเรื่องนี้ยังเข้ารอบรัตน์ เปสตันยี ปีนี้ด้วย และหนังจะฉายอีกรอบคือ วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม รอบ 15.00 น.)
หนังสั้นเรื่องต่อมา มาจากประเทศบลาซิลเรื่อง  About Colours and Razors หนังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของหนุ่มช่างเสริมสวยกับกระเป๋ารถเมล์สาวสุดโทรม เมื่อวันหนึ่งหนุ่มช่างเสริมสวยสังเกตเห็นความงามที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของเธอ เขาจึงเริ่มตีสนิทกับเธอ และนั่นนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่จะทะลายมายาคติเรื่องเพศอย่างที่สังคมส่วนใหญ่ในปัจจุบันเข้าใจ
ปิดท้ายโปรแกรมด้วยสารคดีจากประเทศสเปน เรื่อง Homo Baby Boom หนังสารคดีเรื่องนี้เล่าเรื่องครอบครัวสองแม่ และสองพ่อ ที่สามารถเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ดั่งใจพวกเขาปรารถนา เมื่อรัฐบาลประเทศสเปนได้ยอมให้ครอบครัวของคนรักเพศเดียวกันมีสิทธิ์ในการรับเลี้ยงดูลูกบุญธรรมได้
โปรแกรมความสัมพันธ์แบบลักเพศนี้ จะฉายในงานเทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 13 ในวันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม ศกนี้ เวลา 18.30 น. ณ ห้อง Auditorium ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สามารถรับบัตรเข้าชมได้ล่วงหน้า 1 ชั่วโมง
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaishortfilmfestival.com หรือ สอบถามได้ที่ thaishortfilmfestival@gmail.com

แฟนผมจะแต่งงานกับผู้หญิง

พิเศษ

480abe553fc68[3]

วิทยา แสงอรุณ

นาย อ.” เล่าผ่านรายการ (วิทยุ) ว่า กลางเดือนสิงหาคมนี้ แฟนของเขาที่คบหากันมาแปดเดือน  จะกลับขอนแก่น เพื่อไปแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่พ่อแม่ “จัดให้” คำถามของนาย อ. ที่อยากให้ผมและเพื่อนช่วยตอบก็คือ

1.
เขาควรจะเลิกคบหาไปเลย ทางใครทางมัน? หรือ 2. ทิ้งระยะห่างมาซักพัก เพื่อดูสถานการณ์? หรือ 3. คบกันต่อไป และไม่ต้องสนใจสถานะใหม่ของแฟน?

ข้างบนนี้คือ ความสนใจของนาย อ. ที่เขาเป็นห่วงอนาคตของตัวเอง

แต่คุณผู้อ่านส่วนใหญ่คงจะรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง “น่าสงสารผู้หญิงคนนั้นนะ” “แต่งไปได้ยังไง ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาเลยหรือ?”

ยังมีอีกหลายคำถามและหลากหลายความรู้สึกล่ะครับ อย่างเช่น แล้วแฟนของนาย อ. ล่ะ? มีใครสงสารเขาบ้างไหม?

ส่วนผมคิดทะลึงไปไกล เพราะยังอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วแฟนนาย อ. คนนี้จะ “ทำ” ได้หรือไม่ ในเมื่อตัวเขาเป็น “ฝ่ายรับ”?

แล้วถ้าเกิดทำได้ และมีลูก ครอบครัวนี้จะเป็นยังไงต่อไป ถ้าเกิดคุณพ่อคนนี้ ไม่ยอมเก็บกดธรรมชาติที่แท้จริงในตัวเองอีกต่อไป?” ผมล่ะสงสัยจริงๆ

จากข้อมูลเบื้องต้น แฟนของนาย อ. เรียนจบและทำงานแล้ว และน่าจะดูแลตัวเองได้แล้ว สิ่งที่เขาคิดว่าเป็น “ไฟท์บังคับ” ของตัวเขาก็คือ ​“เป็นลูกชายคนเดียว” ของตระกูล และการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะ “สองตระกูล” อยากจะดองกัน

ไม่ต่างจากนิยายเท่าไหร่

ส่วนพ่อแม่ และอาจจะรวมถึงบรรดาญาติผู้ใหญ่ ที่ตอนนี้ต่างยินดีปรีดากันถ้วนหน้าที่ลูกและหลานคนนี้ เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที

และกำลังเตรียมตัวจัดงานแต่งงานอยู่ คุณผู้อ่าน รู้สึกต่อคนเหล่านี้อย่างไร?

น่าสงสาร? หรือน่าหัวเราะเยาะ ที่พวกเขา ช่างไม่รู้อะไรซะเลย?

บางคนอาจจะคิดถึงพ่อแม่ที่จับลูกชายแต่งงานโดยที่ลูกไม่เต็มใจ และต้องปลงว่า ในสังคมปัจจุบันที่ข่าวสารรวดเร็วทันสมัย ก็ยังมีเรื่องราวแบบนี้อยู่

บางคนอาจจะตั้งคำถามว่า แล้วพ่อแม่ฝ่ายหญิงล่ะ น่าจะโดนตำหนิด้วยหรือเปล่า ที่ยกลูกสาวให้อีกตระกูลโดยไม่รับรู้ว่า ลูกเขยไม่ได้ชอบผู้หญิง? หรือทั้งๆ ที่รู้ หรือรู้อยู่เลาๆ  ว่า ผู้ชายบ้านนั้นไม่ได้เหมือนชายทั่วไป แต่…ก็ช่างเถอะ ก็ยังอยากจะยกลูกสาวให้อยู่ดี? ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงครอบครัวคนยากจนทางเหนือที่ขายลูกสาวใช้หนี้


แล้วตัวคุณผู้อ่านล่ะครับ หากคุณเป็นเพื่อนคนหนึ่งของแฟนนาย อ. และรับรู้ว่า เพื่อนคนนี้ของคุณ ไม่ได้รักชอบผู้หญิง และเขากำลังจะแต่งงาน เพราะ “ถูกที่บ้านบังคับ” คุณอยากจะบอกความจริงให้เจ้าสาวรู้มั๊ย?

เมื่อถึงวันแต่งงาน คุณเพื่อนทั้งหลายที่รับรู้เรื่องราวดี จะไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนคนนี้หรือไม่? และคุณจะรู้สึกอย่างไรกับภาพเบื้องหน้า ภาพของชายเกย์คนหนึ่งที่กำลังเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์กับผู้หญิงคนหนึ่ง? หรือก้อ…ธุระไม่ใช่นี่?

การแต่งงานแบบผิดฝาผิดตัวครั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ต่างอะไรกับอาชญากรรมที่มีผู้กระทำ ผู้ถูกกระทำ มีเจตนา มูลเหตุแห่งการกระทำ และแถมยังมีพยานรู้เห็นอีกต่างหาก

ต่างจากการแต่่งงานแบบผิดฝาผิดตัวในกรณีอื่นๆ อย่างเช่น ฝ่ายชายอาจจะไม่รู้ตัวมาก่อนว่า แท้จริงแล้ว ตัวเองชอบผู้ชาย แล้วก็แต่งงานไป เพราะใครๆ ก็แต่ง หรือในกรณีที่ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างก็รู้ความจริงดี แต่ก็ยังต้องการแต่งงานกันอยู่ดีเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนกัน กรณีอย่างนี้ ก็มีเช่นกัน

แต่ในกรณีเจ้าบ่าวขอนแก่นคนนี้ เขารู้ดีอยู่แล้วว่า ตัวเองไม่ได้รักชอบผู้หญิง และด้วยความต้องการของพ่อแม่ที่อยากให้แต่ง และบวกกับ “ความขี้ขลาด” ของตัวเอง เขาจึงไม่กล้าที่เปิดเผยความจริงให้ทุกๆ คนรับรู้

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคิดว่า ไม่มีใครช่วยเขาได้ แต่ยังไม่สายเกินไป ถ้าจะ พูดความจริง แม้ความจริงจะทำให้คนอีกมากมายต้องเสียใจ ผิดหวัง และโกรธ แต่ความจริงครั้งนี้ ก็จะช่วยใครอีกหลายคน โดยเฉพาะ ตัวเขาเอง

___________________________

ที่มา: หน้าม่านมายา 5 .. 2009

วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ฟังรายการย้อนหลัง http://www.nationradio.co.th


เชิญโหลดคลิปรายาการ Bangkok Radio For Men 2 ส.ค.2009

พิเศษ

อาทิตย์นี้นำคลิปวิทยุมาส่งครับ อย่างไรเสีย ฟังแล้วชอบช่วยส่งต่อๆ ไปนะครับ
ขอบคุณครับ คุณผู้อ่าน

hi5 ของรายการนี้อยู่ที่ http://bangkokradioformen.hi5.com
ตอบคำถามอยู่ใน  hi5 นี้นะครับ

ช่วง  1+2

http://www.mediafire.com/download.php?myz1jkyyyh5

ข่วง 3+4

http://www.mediafire.com/download.php?mv5yzi1yhmm

ช่วงที่ 1: ข่าวสารน่าสนใจรอบโลกที่สื่อไทยไม่ค่อยลง รวมถึงข่าวฮือฮา

ในเมืองไทย วรพจน์ เพชรขุ้มนักมวยสมัครเล่นแชมเปี้ยนจะโดนทำโทษหรือไม่
ที่ไปถ่ายแบบเซ็กซี่ในนิตยสารเกย์ แล้วถ้าไปถ่ายในนิตยสารผู้หญิงล่ะ
ภาพเดียวกัน? พิ้งกี้ชักสงสัยและไม่เฟิร์มความแมนของอั้มหลังเลิก
เหตุยิงวัยรุ่นอุกอาจที่อิสราเอล ยังจับคนร้ายไม่ได้

ช่วงที่ 2-3 สัมภาษณ์ “คุณลุ้ค” ครูสอนโยคะ เรื่องโยคะอินเดีย
โยคะนู้ดเป็นยังไง เผลอไผลไล่เลียงไปพูดถึงนู้ดบีช เป็นยังไง
วิจารณ์หนัง Bruno ก่อนจะถึงประเด็นสำคัญของรายการ
?มุมมอง gay life- gay lifestyle? ไทยและเทศต่างกันอย่างไร?
ทำไมในเมืองไทย กิจกรรมไม่ค่อยหลากหลายนอกจาก
บาร์ ซาวน่า ….ให้คุณนึกอีก ก็คงนึกไม่ออก….(ในห้องน้ำ
และในโรงหนังชั้นสอง…ไม่นับ)

ช่วง 4: เปิดสาย: แฟนผมจะแต่งงานกลางเดือนนี้ ทำยังไง?
พี่ครับ เพื่อนบอกว่า ไม่ได้เป็นเกย์ แต่ผมยังอยากได้เขาเป็นแฟน?
และความคืบหน้าของซีรีส์ชีวิตการรอคอย 7 ปี ของนายเอ พระโขนง
เขาตัดสินใจอย่างไร เมื่อคนที่คุยทางโทรศัพท์เผยว่า เป็นคุณพ่อ ลูกหนึ่ง?
ฟังคำตอบจากปากคำนายเอแบบจะจะ

บรูโน ฮาป่วน กวนทุกเพศ

พิเศษ

bruno1

เพิ่งกลับมาจากดูหนังเข้าใหม่เรื่อง Bruno ที่พารากอนครับ รอบโปรโมทหนัง คนเต็มโรงเช่นเคย
ใครที่เคยดู BORAT คงรู้จักนักแสดงคนนี้ดี Sasha Baron Cohen คนที่กัดทุกคน
ตั้งแต่ชาวบ้านเดินถนน ยันทั่นรัฐมนตรีในเรื่องใหม่ คุณซาช่า แสดงเป็นนักข่าวแฟชั่นชาวออสเตรีย
ที่โดนไล่ออกจากงาน และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเอง “แจ้งเกิด” ในโลกมายา
เลยไปลุยอเมริกาเพื่อตามหาฝัน และได้ทำสิ่งที่คนดูต้องอ้าปาก ตาค้าง แต่ละช็อต
บรูโน กัดแหลก ทั้งชายหญิงทั่วไป และเหล่าเกย์ สูสียิงมุขแสบตลอด
ตอนหนังออกฉายที่อเมริกา น่าจะเมื่อต้นเดืิอน คนดูแตกความเห็นกันสองสามฝ่าย
กลุ่มไม่ชอบเลย บอกว่า เอาเกย์มาล้อเลียน อีกกลุ่มบอกว่า เค้ากำลังสอนคนเรื่อง
homophobia อีกกลุ่มไไม่แสดงความเห็นเท่าไหร บางคนก็ชอบ
พอๆ กับไม่ขอบ
วันนี้มาเปิดประเด็นไว้ก่อน เผื่อใครได้ดูแล้ว มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ครับ
วิทยา แสงอรุณ จะตีสอง (อีกแล้ว)

เพิ่งกลับมาจากดูหนังเข้าใหม่เรื่อง Bruno ที่พารากอนครับ
รอบโปรโมทหนัง คนเต็มโรงเช่นเคย

ใครที่เคยดู BORAT คงรู้จักนักแสดงคนนี้ดี Sasha Baron Cohen
กัดทุกคน ตั้งแต่ชาวบ้านเดินถนน ยันทั่นรัฐมนตรี

ในเรื่องใหม่คุณซาช่า แสดงเป็นนักข่าวแฟชั่นชาวออสเตรียที่โดนไล่ออกจากงาน
และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเอง “แจ้งเกิด” ในโลกมายา

เลยไปลุยอเมริกาเพื่อตามหาฝัน และได้ทำสิ่งที่คนดูต้องอ้าปาก
ตาค้าง แต่ละช็อต บรูโน กัดแหลก ทั้งชายหญิงทั่วไป และเหล่าเกย์

สูสียิงมุขแสบตลอด

ตอนหนังออกฉายที่อเมริกา น่าจะเมื่อต้นเดืิอน คนดูแตกความเห็นกันสองสามฝ่าย

กลุ่มไม่ชอบเลย บอกว่า เอาเกย์มาล้อเลียน อีกกลุ่มบอกว่า เค้ากำลังสอนคนเรื่อง

homophobia อีกกลุ่มไไม่แสดงความเห็นเท่าไหร บางคนก็ชอบพอๆ กับไม่ขอบ

วันนี้มาเปิดประเด็นไว้ก่อน เผื่อใครได้ดูแล้ว มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ครับ

วิทยา แสงอรุณ จะตีสอง (อีกแล้ว)


ใครโดนหลอกกันแน่?

พิเศษ

วิทยา แสงอรุณ

pic13

“ดูข่าวนี้สิ” ผมบอกกับผู้ร่วมงานคนหนึ่ง แล้วอ่านย่อหน้าแรกให้เขาฟัง “รายงานคดีอาชญากรรมน่าสลด เมื่อชายชาวรัสเซียก่อเหตุยิงแฟนสาวเสียชีวิต หลังจากรู้ความจริงว่า หญิงสาวเคยเป็นผู้ชายมาก่อน” (ข่าวสด)

“ก็น่าอยู่หรอก ไปหลอกเค้าทำไมล่ะ” ผู้ร่วมงานคนนั้นประกาศเสียงขุ่นๆ

เรื่องมีอยู่ว่า วลาดิเมียร์ เอฟ วัย 33 ไปปิ๊งหญิงสาวสวยคนหนึ่ง อายุอ่อนกว่าเขาสามปี คามิลล่าและวลาดิเมียร์เริ่มออกเดท และไม่นานก็ย้ายข้าวของมาอยู่ด้วยกัน

ตามข่าวจากสื่อฉบับต่างประเทศ คามิลล่าไม่ค่อยชอบพูดเรื่องราวในอดีตให้แฟนหนุ่มฟัง ส่วนเขาเองก็ไม่ติดใจอะไร

อยู่กันมาสองปี ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจอยากขอแต่งงาน แต่อีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงอยู่ตลอด อ้างว่ายังไม่พร้อมและการแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญที่เธอต้องการเวลา เขาเกิดสงสัย เธออาจมีคนอื่นแอบซ่อนอยู่? เลยไปรื้อค้นจดหมายหาหลักฐาน เขาก็ไม่พบร่องรอยอะไรว่า เธอแอบมีกิ๊ก หรือคิดไม่ซื่อ

แต่สิ่งที่ทำให้เขาถึงกับช็อคก็คือ จดหมายหลายฉบับที่เธอเขียนคุยกับเพื่อนๆ เธอเรียกตัวเองว่า “คีรีล” ซึ่งเป็นชื่อผู้ชาย

ยิ่งค้นก็ยิ่งช็อคเมื่อเขารู้ว่า เมื่อหลายปีที่แล้ว คามิลล่าเดินทางไปออสเตรเลียเพื่อผ่าตัดแปลงเพศ และทำเรื่องขอเปลี่ยนแปลงหลักฐานทางราชการเพื่อเป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความโกรธ พอเธอกลับมาบ้าน เขาก็ลงมือยิงเธอ และพยายามจะฆ่าตัวตายตามด้วยการเชือดข้อมือ แต่ไม่ตาย

ผมหันไปถามผู้ร่วมงานคนนั้น ซึ่งเป็นผู้ชายทั่วไปว่าคิดยังไงหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขานิ่งคิดอยู่สักพัก

ผมเลยถือโอกาสเล่าให้เขาฟังอีกเรื่อง

นักร้องดังคนหนึ่งผ่าตัดแปลงเพศแล้ว มีแขกของร้านอาหารตามจีบ ถึงขั้นจะขอแต่งงาน แต่เธอก็ไม่สานต่อด้วย เธอไม่แน่ใจว่า ควรจะบอกความจริงกับเขาหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่ง เธอนึกทบทวนดู ตัวเธอเองก็ไม่เคยปกปิดกับใครๆ อยู่แล้วว่า เธอเคยเป็นผู้ชาย แล้วทำไมต้องพูดเรื่องนี้กับเขาด้วยล่ะ?

แต่ต่อมา พอเขารู้ความจริงเข้า มาดสุภาพบุรุษก็เปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม เขาต่อว่าเธอเสียๆ หายๆ และเลิกคบ โชคยังดี นักร้องคนนี้ไม่เจอกระสุน

อีกเรื่องที่น่าสนใจ ผู้ชายคนหนึ่งมีแฟนสาวมาแล้วหลายคน แต่แล้วเกิดเหตุบังเอิญ เขาต้องนอนพักร่วมกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งซึ่งเป็นสาวประเภทสอง แล้วทั้งสองก็มีสัมพันธ์กัน (ผมสงสัยจริงๆ ว่า ใครนะจัดห้องให้ และยังสงสัยไม่หายว่า หรือเขาเองนั่นที่วางแผน)

จากนั้น เขาเล่าว่า มีความ“ตั้งใจ” เลยแหล่ะครับ เพียรหาความสุขทางเพศกับสาวประเภทสองอยู่ตลอด เรียกว่า แทบจะไม่ได้มองหาผู้หญิงเลย

เขาถามมาทางโทรศัพท์ผ่านรายการวิทยุที่ผมและเพื่อนจัดอยู่ว่า “ผมผิดปกติมั๊ย?”

จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ คุณผู้อ่านคิดยังไง?

ความรู้สึกผิดหวัง โกรธแค้น และด้วยอารมณ์ชั่วแล่นทำให้วลาดิเมียร์ควักปืนมายิงใส่แฟนสาว? เช่นเดียวกับความรู้สึกโกรธแค้นคิดว่าตัวเองถูกหลอกลวง นักร้องสาวคนนั้นเลยตกที่นั่งลำบาก?

การที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้กะเทยทั่วโลกที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้วสวยเหมือนผู้หญิงได้ คงทำให้ประชากรที่เป็นกะเทยหรือสาวประเภทสองรู้สึกพึงพอใจ และในบางประเทศ ประชากรเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงหลักฐานทางราชการได้

แต่กระนั้น พวกเธอก็ยังถูกมองว่าเป็น “สาวเทียม” อยู่ดี ทั้งๆ จิตใจและจิตวิญญาณของพวกเธอ “เป็นผู้หญิงทั้งแท่ง” ตั้งแต่เกิดเลย

ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเพราะนายวลาดิเมียร์ถูกคามิลล่าหลอก แต่จริงๆ แล้ว เขาโตมาพร้อมกับสังคมที่หล่อหลอมและ “หลอก” ให้เขาคิด เชื่อ และรังเกียจไปเอง ถามว่า ถ้าเกิดจดหมายต่างๆ ที่เขาพบบ่งบอกเรื่องราวว่า แฟนสาวของเขาเคยติดคุก ติดยา หรือเคยเป็นหนี้การพนัน เขาจะเอาปืนไปยิงใส่เธอมั๊ย?

วันนั้น เรายืนยันอีกครั้งกับผู้ชายคนที่โทรศัพท์มาถามโดยบอกว่า เขาไม่ได้ผิดปกติ และผมอยากจะบอกเขาไปว่า ก็ทำไปแล้วมีความสุขดี ก็ทำต่อไปเถอะ แต่ผมก็เชื่อว่า ในที่สุด เขาก็เป็นคนส่วนใหญ่ที่ไม่เลือกที่จะมีแฟนเป็นสาวประเภทสอง ต่อให้สุขสุดยอดแค่ไหนบนเตียง หรือเธอคนนั้นเป็นคนนิสัยดีเลิศเลอคุณธรรมในสังคม

เพราะสังคมบอกว่า โลกนี้มีสองเพศ และเขา และเขา และเขา ก็มักจะเชื่อว่ายังงั้น

___________________________

วิทยา แสงอรุณ เป็นคอลัมนิสต์อิสระ เขาและเพื่อนจัดรายการอยู่คลื่น FM102 ทุกวันอาทิตย์ สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน

ที่มา: หน้าม่านมายา 21 ก.ค. 2009 หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ

ยืดอก พกไปเลย

พิเศษ

Abs-799874[2][1]

วิทยา แสงอรุณ vitayamail @ gmail.com

คราวก่อนนู้น “อุปกรณ์” หมด พอเห็น 7-Eleven ผมเลยแว้บเข้าไป เผื่อจะ “ลองของ” ซักหน่อย เพราะหลังจากเห็นซีรีย์โฆษณาทางทีวีสักปลายปีที่แล้วที่มีสโลแกนว่า “ยืดอกพกถุง” นับแต่นั้นมา ผมก็รู้สึกว่า ดัชนีความกล้าของผมปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนความอายอ่อนตัวลงต่ำกว่าแนวต้านหลายจุด

จริงๆ แล้ว ดัชนีความอายของผมไม่ค่อยจะรุนแรงหรอกครับคุณผู้อ่าน เพราะมีงานที่ต้องคลุกคลีกับเรื่องเพศศึกษาอย่างสม่ำเสมอ เลยรู้สึก “เป็นกันเอง” กับ “อุปกรณ์”

ตรงชั้นวาง ยืนกวาดตาอยู่พักหนึ่ง ก็หยิบเอากล่องถุงยางที่ดูน่าสนใจมาทีละกล่อง อ่านข้อความด้านหน้า ด้านหลัง ดูชนิด ดูขนาด ดูกลิ่น อะไรล่ะอันนี้? อ้อ…ผิวเรียบ อันนี้ขรุขระ ราคาต่างๆ กันสารพัด

ปกติผมเองไม่ยึดติดอยู่กับยี่ห้ออยู่แล้ว เพราะในประเทศไทย ไม่มีบริษัทถุงยางเจ้าไหนส่งสัญญาณว่า อยากจะเอาใจผู้บริโภคที่เป็นผู้ชายรักผู้ชาย ผมก็เลยไม่มี “Brand Royalty” กับยี่ห้อใดๆ และอีกอย่างถุงยางในประเทศไทยส่วนใหญ่ก็ผลิตมาจากโรงงานเดียวกันนั่นแหละ

เลือกมาได้สองกล่อง (เผื่อเอาไว้ กันเหนียว) และเตรียมขยับตััวไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ เท้าข้างหนึ่งเกิดอาการอยากพาไปซื้อของอย่างอื่นจิปาถะเหมือนที่เคยทำก็จะได้เอามาปนๆ ตอนจ่ายเงินไงคุณ เผื่อคนขายจะได้ไม่ “มองหน้า”

แต่เอ๊ะ ทำไมต้องอายคนขายด้วย? คำว่า ยืดอกพกถุง ดังก้องในหัวอีกครั้ง ผมตรงไปจ่ายเงินเลยดีกว่า

และแล้วก็นึกขึ้นมาได้ ยังไม่ได้ซื้ออะไรบางอย่าง หันกลับไป กวาดสายตามองบนชั้นวางกล่องถุงยางอีกครั้ง และอีกครั้ง ก้มลงไปดูชั้นล่าง หริือร้านนี้ไม่ขายเจลหล่อลื่น? ร้านเซเว่นแถวบ้านผม เค้าก็วางขายเคียงคู่อยู่กับถุงยางนี่นา?

ผมหันไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน มีคนยืนเข้าแถวอยู่สองสามคนทั้งสองช่องทาง ทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง และมีผู้ชายคนหนึ่งวัยสักยี่สิบกว่าๆ หน้าตาพอใช้ได้กำลังมองมาทางผม ผมไม่รู้ว่า เค้ารู้สึรันทดกับอาการเลิกลั่กของผม หรือเค้ากำลังมองกล่องถุงยางในมือผม?

เอาน่ะ จะไปแคร์ทำไม “ยืดอกพกถุงๆ” ยืดๆ เข้าไว้ ผมท่องในใจ ไม่ใช่ปัญหานี่ครับที่คนเราจะมาซื้อถุงยางอนามัย มันน่าจะเป็นเรื่องน่าอายมากกว่าที่มาซื้อเหล้า ซื้อบุหรี่? แต่ตอนนี้ ปัญหาของผมคือ ผมจะหาเจลหล่อลื่นที่ไหนล่ะ? มันอยู่ไหน???

ถึงคิวจ่ายเงิน ผมสูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือก ปั้นหน้าให้แสนจะธรรมดา บอกตัวเอง คิดซะว่า หาถ่านไฟฉายไม่เจอก็แล้วกัน แล้วผมก็เปิดปากออกไป

“เอ่อ น้องครับ แล้ว ‘เจล’ ไม่มีเหรอครับ?”

“อะไรนะคะ?”

ผมไม่แน่ใจว่า ผมพูดเบาเกินไปจนเธอไม่ได้ยิน หรือเธอคิดว่า ผมกำลังหาเจลใส่ผม

“เอ่อ…พอดี ปกติเซเว่นแถวบ้านพี่ เค้ามีเจลอยู่ใกล้ๆ กับถุงยาง ที่นี่ไม่มีขายเหรอ?”

พนักงานหญิงยังทำหน้างงๆ จนเพื่อนนเธอที่อยู่เคาน์เตอร์ถัดไปพูดขึ้นว่า “เจลหล่อลื่นไง เควายน่ะ!”

ดัชนีความอายของผมปรับตัวสูงขึ้นทันที มีคนต่อแถวอยู่ข้างหลังผม นี่เค้าคงได้ยินไปถึงหลังร้านแล้วละมั้ง?

แล้วเธอก็หันขวัับไปตรงชั้นวางของข้างหลัง ผมนึกในใจขึ้นมาทันที อย่าบอกนะว่า เก็บเจลหล่อลื่นไว้กับบุหรี่?

เปล่าหรอก หล่อนก้มตัวลง หยิบกล่องทรงยาวๆ ขนาดกะทัดรัดออกมา

นั่นแหละ พระเจ้า! มันอยู่นั่นเอง

แล้วทำไมต้องเอาไปซ่อนด้วย? อดไม่ได้แอบเคืองเล็กๆ ก็แทนที่ผมจะได้จ่ายเงินไวๆ และเดินจากไปอย่างไร้พันธะ ผมกลับต้องตกอยู่ในสถานการณ์
เป็นเป้าสายตาของชาวบ้านเพราะเอาเจลไปซ่อนไว้หลังเคาน์เตอร์

ขณะผมกุลีกุจอเก็บตังค์ทอนที่หล่อนคืนมา หันขวับออกไป ผมยังเจอผู้ชายคนเดิมยืนอยู่แถวๆ นั้น ไม่ต้องเดาเลยว่า
เหตุการณ์หน้าเคาน์เตอร์เมื่อครู่ก็อยู่ในสายตาของเขา

eye643

ดัชนีความอายของผมพุ่งปรี๊ดขึ้นจุดสูงสุด ผมไม่ได้ยินคำว่า ยืดอกพกถุงเลยในหัวผมเลยตอนนี้ บ้าจริงๆ

ผมพยายามสะบัดความคิดต่างๆ รวมถึงคำถามที่ผุดขึ้นมาเหมือนพลุ “มองอะไร มองทำไม (ฟะ)”

นี่ถ้าวันนั้น ผมไม่ได้มีนัดกับคนพิเศษ และนี่ถ้าตอนนั้น ผมไม่ไปสะดุดกับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างถุงยางอนามัยกับเจลหล่อลื่น
ผมอาจจะถามหนุ่มคนนั้นดีๆ ว่า “มองอะไรหรือครับ…หรือว่า เราจะเอาไอ้นี่ไปใช้ด้วยกัน…ปัดโธ่”

แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร

หนุ่มคนนั้นเดินออกจากร้านไปแล้้ว หัวใจที่เต้นแรงเพราะเหตุการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวค่อยๆ แผ่วลง ความร้อนบนใบหน้าหดหาย และแล้้ว
ผมก็ได้ยินคำว่า “ยืดอกพกถุง” อีกครั้งในหัว มันกลับมาแล้ว

แทนที่จะรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากร้านไปอย่างด่วนๆ

ผมเปลี่ยนใจ ผมค่อยๆ เดินออกไป ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็แค่มาซื้อถุงยางนี่นะ

————————————–
ตรวจฟรี ชรช.

ไม่ต้องอาย ไม่ต้องบอกชื่อ ไม่ต้องบอกนามสกุล ทุกอย่างเป็นความลับ เจ้าหน้าที่รู้ดี เป็นมิตรสุดยอด เปิดแล้ว “สัปดาห์สุขภาพชายรักชาย” ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทยจัดตรวจฟรี ตรวจเชื้อเอชไอวี กามโรค มะเร็งปากทวารหนัก พร้อมแถมวัดปริมาณไขมันและกล้ามเนื้อให้อีกด้วย ปกติตรวจหลายรายการแบบนี้เสียตังค์ ไม่น้อย แวะไปที่คลินิคนิรนาม สภากาชาดไทย ถ. ราชดำริ 13 -17 ก.ค. 2552 เวลา 8.30-16.00 น. สอบถามข้อมูลก่อนเดินทาง 02-2564107-9 ต่อ 109, 209 หรือดูรายละเอียดก่อนที่ http://www.trcarc.org/home/view_pr.php?prID=24

ที่มา: จากคอลัมน์ “หน้าม่านมายา” กรุงเทพธุรกิจ 7 ก.ค. 2008

เชิญโหลด คลิปรายการ Bangkok Radio For Men on air 5 ก.ค. 2552

พิเศษ


6 ก.ค. 17:55 น.
2379_20090614161528150R1


น้องๆ Wonder Gay ทำให้พี่ๆ Bangkok Radio For Men
ประทับใจไม่รู้ลืมกับความน่ารัก ฉลาด วางตัวดีของน้องๆ

คลิกฟังเสียงสัมภาษณ์ “กิ บิ๊ก ไผ่ ไดซ์ ปอ”
(เรียงชื่อตามภาพข้างบน จากซ้ายมือคนอ่านไปทางขวา)

ใครเป็นใคร น่ารักแค่ไหน พร้อมคำถามจากผู้ฟัง ทั้งโหด ทั้งฮา
และน้องๆ เอาตัวรอดไปได้ยังไง แต่ละคนตอบเก่งกันนัก
ต่พอเจอคำถามแบบว่า รู้จักผู้ชายคนนั้น คนนี้มั๊ย ก้อพากัน
อายม้วนไปหลายตลบ ฝากติดตามผลงาน ชมชีีวิตของ
พวกเขาเป็นซีรีย์บนเว็บได้ที่
ช่วง 3-4 เปิดสายรับประเด็น ใครอยากเล่า อยากอัพเดท
ใครบางคนแฟนงอน เพราะเกือบมีกิ๊ก ใครบางคน โดนแฟน
จับได้ แต่ไม่รู้จะเลิกกะกิ๊กยังไง และใครบางคนบอกว่า
ไม่อยากบอกอีกฝ่ายว่า ที่คบเพราะ…สงสาร เรื่องราวเป็นอย่างไร
เชิญโหลดได้เลยจ้า

ถ้าคุณเป็นรับ แล้วแฟนหรือคู่ของคุณ บอกให้ ‘ผลัดกันบ้าง’ คุณจะ?

พิเศษ

6a00e008dcef0a8834011168fc522c970c-500wi
เชิญโหลด คลิปรายการ Bangkok Radio For Men: 28 มิถุนายน 2552

จากสัปดาห์ที่แล้วที่ทำเอาผู้จัดรายการมึนตึ้บกับหลายๆ สาย
ที่โทรเข้ามาแสดงความคิดเห็นในประเด็น หากคุณเป็นรุก
แล้้วแฟน/คู่ของคุณอยากให้ “ผลัดกัน” บ้าง? คุณจะ…

เลยอยากจะฟังความอีกข้างหนึ่ง

สัปดาห์นี้ เปิดสายประเด็น ใครเป็นรับ แล้วโดนขอให้ “ผลัดกัน” บ้้าง
จะทำอย่างไร?

ส่วน แก๊ง “โบ้ท” ไม่่ต้องน้อยใจ เดี๋ยวถ้าเกิดเค้าผลัดกันลงตัวแล้ว
ก็จะมีคนมาร่วมแก๊งค์เพิ่มขึ้น ???!!???

เสร็จจากเรื่องรุกรับ มาฟังดูซิว่า บรรดาคนดังที่เป็น
gay icon เค้้ารู้สึกยังไงกับการจากไปของไมเคิล แจ็คสัน?
เอ๊ะ แล้วตกลงไมเคิล เค้าเป็นชรช ป่าวเนี่ย?

เชิญโหลดคลิปรายการวันที่ 28 มิถุนายน 2552

1
http://www.zshare.net/audio/6199680375059f95
2
http://www.zshare.net/audio/61997577014c4751/
3
http://www.zshare.net/audio/619977130e7145ab/
4
http://www.zshare.net/audio/61998016b5369251/

หน้าม่านมายา: เมื่อ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” ที่พัทยา

พิเศษ

pic0

วิทยา แสงอรุณ

เมื่อพูดถึง “พื้นที่” ยามราตรีแล้ว เหล่าชายรักชายร่าเริงมากกว่า เพราะมีหลายแหล่งให้เลือกที่จะไป แต่บรรดา “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” แล้ว มีน้อยนัก
และเมื่อนึกถึงเมืองพัทยา คนที่เป็นหญิงรักหญิงคงยิ่งนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าหากจะพาก๊วนเพื่อน หรือพาแฟนไปเที่ยว แล้วอยากสังสรรค์รื่นเริงในยามค่ำคืน จะไปบันเทิงเพื่อปลดปล่อยตัวเองที่ไหนดี?

ณ เมืองท่องเที่ยวแห่งนี ้เราจะเห็นภาพลักษณ์ของพื่้นที่แทบจะเรียกได้ว่า “เอ็กซ์คลูซิฟ” ที่มอบให้กับ ฝรั่งนักท่องเที่ยวและพนักงานหญิงบริการที่มีผิวกรำแดด รวมไปถึงแหล่งบาร์เหล้า และอะโกโก้ รองลงไปก็เป็นสาวประเภทสองน้อยใหญ่ผู้อยากใช้ชีีวิตอิสระ และบรรดาสถานบริการสำหรับเหล่าเกย์

หรือว่า หญิงรักหญิง เค้าไม่่ค่อยเที่ยวกัน?

“เพศไหนๆ ก็เหมือนกันแหละ คนทั่วไปก็มาเที่ยวพัทยากันอยู่แล้ว ทอม ดี้ เลสเบี้ยน ก็ไปพัทยา เหมือนกัน แต่สถานที่เที่ยว สถานที่นั่งพักผ่อนแบบสบายๆ มีวงดนตรีเล่นสดๆ ให้ฟังกัน ไม่ค่อยจะมี” เป็นคำบอกเล่าของนักร้องคุณภาพ นรินทร ณ บางช้าง และเจ้าของผับ “XXO” ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้

จริงๆ แล้ว XXO เปิดกิจการมาตั้งแต่ต้นปี 2552 ตั้งอยู่ถนนหาดจอมเทียน เป็นผับทั่วไป (อยู่ซ. ราชพฤกษ์ ตรงข้ามกับสถานีตำรวจพอดี ดูเว็บ http://www.xxobeachclub.com) และมีลูกค้ากลุ่มเกย์ไปเที่ยวกัน

“คุณเอ๋” และเพื่อนเข้ามาดำเนินกิจการแทน และเห็นว่า น่าจะเหมาะกว่า หากจะจับกลุ่มหญิงรักหญิง แทนที่จะเป็นลูกค้ากลุ่มเกย์ และลูกค้าชายหญิงทั่วไป

“สังเกตมั๊ยว่า ที่เที่ยวของเกย์มักจะกระจุกตัว อยู่รวมๆ กันเป็นย่านๆ ไปเลย ร้านนี้ไม่เหมือนที่อื่น แยกตัวออกมา และยิ่งเป็นหาดจอมเทียน ก็ไม่ค่อยวุ่นวาย เป็นสถานที่พักผ่อนสบายๆ ส่วนใหญ่ ลักษณะของพื้่นที่อย่างนี้ เหมาะกับการเปิดผับที่ผู้หญิงต้องการความเป็นส่วนตัว” เธอเล่า

ความต้องการ “เป็นส่วนตัว” ดังกล่าว ทำให้พื้นที่ในผับ XXO ต้อง “renovate” ใหม่หมด จากเดิมเป็นแนวสีขาวและสีเงิน ดูโล่งโปร่ง แต่สำหรับคุณเอ๋ เธอเห็นว่าของเดิม เธอเห็นว่า “สว่าง” เกินไป

“คนไปเที่ยวล่ะนะ ก็ต้องมีจู๋จี๋กันบ้าง ผับเดิม สว่างโล่งขนาดนี้ คนก็เขินกันหมดสิ”

ภายในพื้นที่ของ XXO เอง ก็ต้องมีการจัดพื้นที่อีกชั้นหนึ่งเพื่อรองรับ “ความหลากหลายของลูกค้า” เพราะในกลุ่มหญิงรักหญิงเอง ไม่ใช่จะมีแต่ความสัมพันธ์ และการแสดงออกของวัฒนธรรมทอม-ดี้ ยังมีกลุ่มผู้หญิงที่รักผู้หญิงที่ไม่ได้เรียกตัวเองหรือแสดงออกอย่างทอม-ดี้อีกด้วย

บางคนก็เรียกตัวเองและแฟนสาวว่า เลสฯ ซึ่งมาจากคำว่า เลสเบี้ยน แต่บางคนก็เลือกที่จะไม่เข้าสังกัดในนิยามใดๆ ทั้งสิ้น และพอใจจะเรียกตัวเองว่า ผู้หญิง แต่ “ชั้นเป็นผู้หญิงรักผู้หญิง”

พื้นที่ของ XXO เลยต้องถูกจัดการ เพื่อรองรับได้ทั้งสองกลุ่ม

“ผับบางแห่ง แสดงความชัดเจนไปเลยว่า เป็นผับทอมดี้วัยรุ่น บางแห่งก็สำหรับผู้ใหญ่ แต่ที่นี่ พื้นที่ของเราต้องรองรับได้ทั้งหมด ข้างล่างมีวงดนตรี ถ้าผู้ใหญ่มา อยากนั่งชิลๆ ก็มีด้านบน” เธอเล่าต่อ

ที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือ พื้นที่ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” แห่งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อ “ทอมฮะ” “ทอมครับ” หรือ “ดี้สาวแสนสวย” หรือหญิงเลสฯ เท่านั้น แม้แต่ผู้หญิงที่รักผู้ชาย แต่ไม่ฝักใฝ่ผับชาย-หญิง ก็นิยมที่จะไปกัน เพราะไปแล้ว “สบายใจ”

คงคล้ายกับในบาร์เกย์หรือผับเกย์ เรามักจะเห็นผู้หญิงทั่วไปปะปนเข้าไปสนุกสนานอยู่บ่อยๆ พวกเธอไม่ได้ต้องการเข้าไปให้ใครจีบ หรืออยากให้ใครมอง แต่พวกเธอคือผู้่หญิงที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองเหมือนกัน

แต่ความเป็นส่วนตัวในพืิ้นที่ของผับหญิงรักหญิง ก็มีข้อจำกัด เพราะผู้ชายเข้าไปไม่ได้ แม้จะเป็นชายรักชายก็ตาม

ด้วยพื้นที่ด้านความสำราญในยามค่ำคืนของทอม-ดี้ และเลสฯ มีจำกัด อะไรมาใหม่ จะเป็นที่รู้กันแบบสายฟ้าแลบ คุณเอ๋บอกว่า ผับ XXO จึงไม่ต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์อย่างหนักหน่วงเพราะแค่มีข่าวแว่วๆ ว่า จะมีผับเปิดใหม่สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะที่พัทยา ก็มีคนช่วยกระจายข่าวจนรู้กันทั่วเรียบร้อย

(ในภาพ เป็นสถานที่เดิม ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงใหม่)
ตึพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ หน้าม่านมายา 23 มิ.ย. 2552

Wonder Gay วัยรุ่นกรี๊ด ผู้ใหญ่กลุ้ม

พิเศษ

Wonder Gay วัยรุ่นกรี๊ด ผู้ใหญ่กลุ้ม

screen-capture

จากคลิปเพื่อนดันไปโพสต์บนยูทูป ทำให้นักเรียนชายห้าคนในชั้นมัธยมปลายในชุดพละที่เต้นเลียนแบบวงเกาหลี “วันเดอร์ เกิร์ล” หน้าเสาธงโรงเรียน ดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมา และต่อมาได้กลายเป็นกระแสวิพากษ์์วิจารณ์กันยกใหญ่เมื่อค่ายเพลงวัยรุ่นของอาร์เอสจับเซ็นสัญญาจะออกอัลบั้ม “Wonder Gay” ให้
“ไม่ได้รังเกียจเพศที่สาม แต่ไม่ควรสนับสนุน เพราะจะเกิดการเลียนแบบ”

นั่นคือ ทัศนะของคนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่ และยิ่งคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้วต่างก็แสดงอาการวิตกกังวลว่า บุตรชายบุตรสาวเห็นเข้า แล้ว จะ “เบี่ยงเบน”

อารมณ์ ความรู้สึก และทัศนะคติในทำนองนี้เกิดขึ้นทุกที่ และทุกครั้งที่มีการนำเสนอภาพของความหลากหลายทางเพศออกสู่สาธารณะโดยเฉพาะผ่านหน้าจอทีวี

จริงๆ แล้ว ในจอทีวี มีนักแสดงตลกชายที่ชอบแต่งหญิงเป็นจำอวดกะเทยอยู่แทบทุกช่อง ละครบางเรื่องก็มีตัวละครเป็นเกย์ กะเทย ทอม ดี้ และส่วนใหญ่ก็มักจะผลิตซ้ำภาพเดิมๆ แทบทั้งสิ้น ถ้ากะเทยไม่เป็นตัวตลก ไร้สาระ และไร้สมอง เราก็จะเห็น เกย์ ทอม ดี้ เกิดมาอาภัพและน่าสงสาร

เมื่อภาพเหล่านี้เริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม อย่างกรณีของกลุ่มนักเรียนชายวัยมัธยมปลาย หน้าตาแสนจะธรรมดาออกจะเนิร์ด ๆ มาเต้น เพลง Nobody ของ Wonder Girls และพอใจจะเรียกตัวเองว่า Wonder Gay ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า มันเป็นกิจกรรมยามว่าง ไม่ได้เสียการเรียน และไม่คิดว่า เป็นเรื่องเสียหาย

ผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ใหญ่ก็ยังตั้งคำถามอีก จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า ตอนมีภาพลบๆ ในจอทีวี ก็มีคนออกโรงมาค้านว่า ไม่ควรมี เกย์ กะเทยบนจอทีวี และเมื่อตอนมีภาพบวกบนจอทีวี เพราะเด็ก ๆ อยากทำเป็นกิจกรรมยามว่าง ก็มีคนออกมาคัดค้าน เหมือนเดิม
screen-capture-1

ผมคิดว่า แทนที่ผู้ใหญ่จะตั้งคำถามกับกลุ่มเด็กๆ เหล่านั้น ควรจะหันมาถามคำถามกันเองก่อนอย่างจริงจังเสียที ดีไหมว่า

สังคมไทยมีความรู้ ความเข้าใจแค่ไหนในเรื่องความหลากหลายทางเพศ และเรื่องสิทธิมนุษยชน บ้านเรา ไปถึงไหนกันแล้ว?
การอ้างเรืื่อง “การเบี่ยงเบน” แทนที่จะมองว่า เรื่องเพศมีความหลากหลาย และมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่รู้ และการอ้างด้วยความกลัวเรื่อง “การเลียนแบบ” แทนที่จะถามตัวเองว่า มันจริงหรือไม่ หรือจริงๆ แล้ว เรากลัวๆ กันต่อๆ มา? สิ่งเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอะไรกันแน่ ความไม่รู้ และรากเหง้าอคติทางเพศ หรือเปล่า?

ผู้ใหญ่มักไม่เคยถามตัวเองมาเลยอีกด้วยว่า คำวิจารณ์ในแง่ลบ และความเห็นของตัวเองที่เขียน ที่ระบายออกมา มาจากอารมณ์ ความรู้สึกขัดหู ขัดตา ความเกลียดชัง หรือไม่ และที่น่าสนใจไปกว่านั้น ก็คือแล้วความรู้สึกเหล่านี้ จริงๆ แล้ว มันมาจากไหน เกิดขึ้นได้ยังไง?

คนเรามักอาศัยเพียงการสังเกต คาดเดาเอาเอง และบวกกับความยังไม่รู้ในเรื่องเพศศึกษา ตั้งแต่วัยเด็กที่เราถูกสอนกันมา แล้วก็หันไปกล่าวหาชี้โทษว่า ใครหรืออะไรจะเป็นตัวการทำให้ใคร “เบี่ยงเบน” ได้

จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ “ปัญหา” อยู่ที่ Wonder Gay ไปออกทีวีและทำอัลบั้ม หรือปัญหาอยู่ที่ ตัวผู้ใหญ่เอง?

(ได้ฟัง single ของพวกเธอแล้วหรือยัง?)

___________________________________________________________
ที่มา: วิทยา แสงอรุณ หน้าม่านมายา กรุงเทพธุรกิจ 9 June 2009